พระสมเด็จวัดระฆัง คือพระเครื่อง ซึ่งสร้างขึ้นโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) แห่ง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร โดยมีพุทธศิลป์และพุทธลักษณะโดยทั่วไปเป็นประติมากรรมแบบนูนต่ำ (Low Relief) รูปพระพุทธปฏิมาประทับนั่ง ปางสมาธิ ซึ่งปรากฏการขัดสมาธิทั้งแบบขัดราบ และแบบขัดเพชร มีการห่มจีวรแบบห่มดองโดยไม่มีเครื่องทรงใดๆ ประทับนั่งอยู่บนพระอาสนะแบบฐานสิงห์ 3 ชั้น ภายใต้ซุ้มประภามณฑล ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นลวดเกลี้ยง (หรือเป็นเส้นหวายผ่าซีก) โดยเป็นขอบเขตปริมณฑลอันจำกัด และมีผนังกรอบขององค์พระเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งบ่งบอกถึงสกุลช่างศิลป์ยุคใหม่[1] นอกจากนี้ พระสมเด็จวัดระฆังฯ ยังเป็นหนึ่งในพระเครื่องชุดเบญจภาคี (ซึ่งประกอบด้วย พระสมเด็จ พระนางพญา พระกำแพงซุ้มกอ พระผงสุพรรณ และพระรอดลำพูน) ซึ่งได้รับความนิยมและการประเมินค่าอย่างสูงยิ่งในวงการพระเครื่องฯ และสาธารณชน ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ และทั้งในด้านพุทธคุณและกฤตยานุภาพ ด้านพุทธศิลป์ และด้านมูลค่าเชิงพาณิชย์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง"[2] [3]
วัสดุหรือมวลสารที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ วัสดุเชิงปริมาณ วัสดุเชิงอิทธิ และมงคลวัสดุ ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้[8]
วัสดุเชิงปริมาณและวัสดุประสาน
หมายถึงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดปริมาณมากน้อยตามความต้องการในการสร้างพระ รวมถึงส่วนผสมเพื่อก่อให้เกิดความแข็งแกร่งในโครงสร้างของเนื้อพระอีกด้วย ซึ่งวัสดุเชิงปริมาณที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จประกอบด้วย[9]
ปูนขาว เป็นวัสดุเชิงปริมาณหลักหรือเนื้อหาส่วนใหญ่ของมวลสารเพื่อใช้ในการสร้างพระให้ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งตามคติการสร้างพระเครื่องมาแต่ครั้งโบราณกาลคือจำนวน 84,000 องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ และเพื่อให้เกิดเนื้อที่มีความนุ่มนวลและแข็งแกร่งทนทาน ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เลือกใช้ปูนขาวเปลือกหอยเพื่อให้เกิดผลดังกล่าว นอกจากนี้ การสร้างพระด้วยเนื้อปูนซึ่งไม่ต้องผ่านความร้อนนั้น อาจคาดการณ์ได้ว่าท่านคงจะปรารถนาให้พระสมเด็จของท่านเป็นพระเครื่องฝ่ายเย็น หรือมีมหานิยมอย่างสูงนั่นเอง[10] นอกจากนี้ ปูนขาวที่ผลิตจากเปลือกหอยเผายังเป็นปูนที่มีเนื้อนุ่มละเอียด ใช้ปั้นสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าปูนซึ่งผลิตจากหิน อีกทั้งเมื่อแข็งตัวแล้ว จะมีความทนทานแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของเปลือกหอยซึ่งเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีอัญรูปแบบไม่ใช่โครงผลึก (Amorphous) นอกจากนี้ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังได้ผสมปูนสร้างหลักเมือง ปูนกำแพงเมือง และปูนกำแพงพระบรมมหาราชวัง เพื่อความเป็นโฉลกมงคลทางกฤตยาคมอีกด้วย[11]
ข้าวสุก เป็นส่วนผสมเพื่อให้ได้ทั้งปริมาณและความเป็นมงคลพร้อมกัน กล่าวคือ ข้าวสุกเป็นวัสดุประสานประเภทหนึ่งซึ่งทำให้เนื้อเหนียวแน่น โดยมีข้อมูลจากพระธรรมถาวรซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ กลับจากบิณฑบาตแล้ว ท่านได้แบ่งข้าวสุกในบาตรออกเป็น 4 ส่วน โดยท่านเอาไว้ฉันส่วนหนึ่ง เหลือให้ศิษย์ส่วนหนึ่ง ให้ทานนกกาและสุนัขส่วนหนึ่ง และส่วนสุดท้ายนำมาบดเพื่อสร้างพระสมเด็จ ดังนั้น ข้าวสุกในเนื้อพระสมเด็จจึงเป็นทานวัตถุซึ่งสูงด้วยผลานิสงส์ และมีความเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง[12]
เนื้อกล้วย พระธรรมถาวรได้ให้ข้อมูลว่าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ใช้กล้วยชนิดต่างๆ ผสมในเนื้อพระด้วย เช่น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า และกล้วยหอมจันทน์ โดยใช้เนื้อและเปลือกบดผสมกับมวลสารอย่างอื่น ซึ่งในที่นี้เนื้อและเปลือกของกล้วยทำหน้าที่เป็นวัสดุประสานที่ดี ช่วยทำให้ผงมวลสารต่างๆ เกาะกุมตัวเข้ากันได้สนิท และสะดวกในการถอดพิมพ์เพราะช่วยให้เนื้อมวลสารร่อนและไม่ติดแม่พิมพ์ อีกทั้งกล้วยยังเป็นของไทยทานจากการบิณฑบาต จึงเป็นมงคลวัสดุด้วยเช่นกัน[13]
น้ำมันตังอิ๊ว ใช้เป็นวัสดุประสานเนื้อพระมิให้แตกราน ซึ่งเมื่อแห้งสนิทจะแปรสภาพเป็นของแข็ง ซึ่งการใช้น้ำมันตังอิ๊วเป็นวัสดุประสานนี้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงวิจารณ์เจียรนัย ซึ่งเป็นช่างทองของราชสำนักในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังเป็นผู้ออกแบบพิมพ์พระสมเด็จพิมพ์ทรงมาตรฐานอีกด้วย[14]
เมล็ดทราย ได้มีการใช้เมล็ดทรายขาวที่มีความละเอียดมากที่สุด และเป็นทรายพุทธคุณที่ได้รับการปลุกเสกแล้วผสมในเนื้อพระ จึงจัดได้ว่าเป็นมวลสารที่ให้คุณค่าทั้งในด้านปริมาณ การเพิ่มความแกร่งและความแข็งแรงของโครงสร้าง และยังเป็นอิทธิวัสดุในขณะเดียวกัน
วัสดุเชิงอิทธิ
วัสดุเชิงอิทธิหรืออิทธิวัสดุคือมวลสารที่อำนวยผลทางพุทธกฤตยาคมหรือพุทธคุณโดยตรง ซึ่งในพระสมเด็จประกอบไปด้วยวัสดุดังต่อไปนี้[15]
ผงวิเศษ 5 ประการ ซึ่งประกอบไปด้วยดินสอพองเป็นส่วนใหญ่ และผสมด้วย ดินโป่ง ดินตีนท่า ดินหลักเมือง เถ้าไส้เทียนในพระอุโบสถ ดอกกาหลง ยอดสวาท ยอดรักซ้อน ไคลเสมา ไคลประตูเมือง ไคลประตูพระบรมหาราชวัง ไคลเสาตะลุงช้างเผือก ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ พลูร่วมใจ พลูสองหาง กระแจะตะนาว (ซึ่งปรุงด้วย จันทน์แดง จันทน์หอม จันทนา และไม้หอมอื่นๆ) และน้ำมันหอมเจ็ดรส ตามมูลสูตรกรรมวิธีการจัดทำผงวิเศษ โดยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ใช้อิทธิวัสดุเหล่านี้มาปั้นเป็นแท่งดินสอซึ่งมีสีเหลืองหม่น ซึ่งใช้ในการเขียนสูตร อักขระ เลข ยันต์ เพื่อให้เป็นผงวิเศษ 5 ประการ ซึ่งประกอบไปด้วย ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ และผงตรีนิสิงเห ซึ่งเป็นอิทธิวัสดุหลักในเนื้อพระสมเด็จ และยังช่วยให้มวลสารของเนื้อเกิดความนุ่มและความซึ้งมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย
ผงใบลานเผา ได้แก่ผงเถ้าถ่านของใบลานที่ใช้จารึกอักขระ เลข ยันต์ และสูตรต่างๆ ซึ่งท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จารสูตรพุทธาคม และอักขระเลขยันต์ต่างๆ ลงในใบลาน จากนั้นจึงนำมาเผาไฟและเก็บรวบรวมผงใบลานเผาเหล่านั้นเพื่อนำมาสร้างพระสมเด็จ ดังนั้น จึงจัดว่าผงใบลานเผาเป็นอิทธิวัสดุโดยตรง เช่นเดียวกันกับผงวิเศษ 5 ประการ นอกจากนี้ ผงใบลานเผายังช่วยให้เนื้อเกิดความซึ้งอีกด้วย
มงคลวัสดุ
คือวัสดุที่เสริมความเป็นสิริมงคล และมีผลช่วยส่งเสริมพุทธกฤตยาคมให้มีความศักดิ์สิทธิ์และเข้มขลังยิ่งขึ้น ซึ่งในการสร้างพระสมเด็จมีดังนี้[16]
เกสรดอกไม้ ได้แก่เกสรดอกไม้นานาพรรณตามคติการสร้างพระเครื่องฯ ซึ่งได้แก่ เกสรบัวทั้งห้าคือ ปุณฑริก หรือ โกมุท (บัวขาว หรือบัวเผื่อน) นิโลบล (บัวเขียว) สัตตบงกต (บัวแดง) สัตบรรณ (บัวขาบ) และปัทมะ (บัวหลวง) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นดอกบัวที่ใช้บูชาพระประธานในพระอุโบสถ นอกจากนั้นเป็นเกสรบุปผชาติที่เป็นมงคลต่างๆ คือ พุทธรักษา สารภี ยี่สุ่น พิกุล บุนนาค กาหลง ชงโค โยทะกา (คัดเค้า) และรักซ้อน เป็นต้น โดยนำมาตากแห้งแล้วบดผสมเนื้อพระ ซึ่งจัดว่าเป็นมงคลวัสดุที่เป็นที่มาของความนุ่มและความซึ้งของเนื้อพระเช่นเดียวกันกับผงวิเศษ 5 ประการ
เนื้อว่าน ๑๐๘ เป็นเนื้อหัวว่านป่านานาชนิด ซึ่งโบราณถือว่ามีอานุภาพมหัศจรรย์ตามธรรมชาติ เช่น พระเจ้าห้าพระองค์ ว่านมหาเศรษฐี มหาวน ชัยมงคล เสน่ห์จันทน์ ฉิมพลี นางคำ นางล้อม สี่ทิศ พญาลิ้นงู หนังแห้ง คางคก กระบือชนเสือ ไพลดำ หอมแดง และสบู่เลือด เป็นต้น ซึ่งนอกจากว่านเหล่านี้จะเป็นอิทธิวัสดุและมงคลวัสดุในขณะเดียวกันแล้ว ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เนื้อพระเกิดความนุ่มอีกด้วย
ทรายเงินทรายทอง คือผงตะไบของแผ่นเงินและแผ่นทองซึ่งลงอักขระเลขยันต์และสูตรต่างๆ สำหรับการสร้างพระ ซึ่งมักจะลงด้วยพระยันต์ ๑๐๘ คือ ประทุมจักร ๕ ภควัมบดี ๕ พระไตรสรณาคม ๓ นวโลกุตรธรรม ๑ พระนราสภ ๕ พระจตุราริยสัจจ์ ๒ พระรัตนตรัย ๑ พระจักรสิโลก ๙ มงกุฎพระพุทธเจ้า ๑ พระบารมี ๓๐ ทัศ ๒ สุกิตติมา ๒ ปถมังพระเจ้าห้าพระองค์ ๕ องครักษ์ ๔ โสรสมงคล ๑ พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ๒๘ ฆเฏสิ ๑ พระพุทธคุณ ๗ พระนวภา ๒๕ พระชฎามหาพรหม ๑ จตุโร ๑ และนะ ปถัง ๑๔ คือ บังสมุทร นาคบาศก์ วชิราวุธ ทน กำจาย ปรีชาทุกทิศ ครอบจักรวาล บังไตรภพ บังเมฆา สะท้านดินไหว กำจัด ปิดอากาศ ล้อม แล้วนำมาผสมลงในเนื้อพระ จัดว่าเป็นอิทธิวัสดุเช่นเดียวกันกับผงใบลานเผา อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าและความซึ้งให้กับเนื้ออีกด้วย
น้ำมันจันทน์ ได้แก่ น้ำมันจันทน์หอมพระพุทธมนต์ ซึ่งสำเร็จด้วยการปลุกเสกพระพุทธคุณ ๑๐๘ เป็นน้ำมันที่สกัดจากไม้จันทน์หอม และไม้เนื้อหอมต่างๆ 7 ชนิด ซึ่งเรียกว่า "น้ำมัน ๗ รส" จัดว่าเป็นอิทธิวัสดุ และเป็นตัวประสานมวลสารอื่นๆ เช่นเดียวกันกับน้ำมันตังอิ๊ว อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้เนื้อเกิดความนุ่มขึ้นอีกด้วย
เถ้าธูป เป็นเถ้าธูปที่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รวบรวมจากกระถางธูปที่บูชาพระของท่าน และจากที่บูชาพระประธานในพระอุโบสถ แล้วนำมาบดกรองให้ละเอียดเพื่อผสมกับเนื้อพระ จึงถือว่าเป็นทั้งมงคลวัสดุและวัสดุเชิงปริมาณอีกด้วย เนื่องจากมีการใช้ผสมเป็นปริมาณครั้งละมากๆ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เนื้อพระมีความนุ่ม
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ผิวฟูหนา
เมื่อพิจารณาลักษณะของผิวพระสมเด็จโดยทั่วไปแล้ว จะพบว่ามีความสัมพันธ์กับเนื้อ โดยอาจจำแนกผิวของพระสมเด็จออกเป็น 4 ประเภท คือ[18]
ผิวเยื่อหอม ผิวประเภทนี้จะปรากฏเฉพาะเนื้อของวัดระฆังฯ ซึ่งเป็นผิวของประเภทเนื้อที่มีความนุ่มในระดับสูง เช่น เนื้อผงเกสรดอกไม้ และเนื้อกระแจะจันทน์ โดยเนื้อประเภทนี้เกือบจะไม่มีลักษณะของผิวปูนเคลือบอยู่ที่ด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย หรืออาจกล่าวได้ว่า ผิวและเนื้อเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือมีความบางมากประดุจความบางของเยื่อหอม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอาจเป็นพระที่ได้รับการสัมผัสมาบ้าง หรือผ่านการลงรักเก่าทองเก่าแต่ไม่แตกลายงา เนื่องจากเนื้อพระมีความนุ่มอย่างมาก และมักจะปรากฏแป้งโรยพิมพ์หากผ่านกรรมวิธีความแห้งบริสุทธิ์
ผิวแป้งโรยพิมพ์ ผิวประเภทนี้เกิดจากเนื้อที่มีความละเอียดและความนุ่มในระดับสูงเช่นเดียวกันกับเนื้อที่ปรากฏผิวเยื่อหอม แต่เนื่องจากสภาพของเนื้อพระมีความแห้งและปราศจากสารน้ำมันต่างๆ รวมถึงการเสียดสีจากปฏิกริยาของการลงรักเก่า ซึ่งแม้กระทั่งเนื้อที่มีความแกร่งและความหยาบกว่านี้ เช่น เนื้อกระยาสารท ก็อาจปรากฏผิวชนิดนี้ได้เช่นกัน โดยถ้าเนื้อมีความแห้งพอ หรือผ่านกรรมวิธีความแห้งบริสุทธิ์ ก็จะเกิดผิวสีขาวนวลประดุจนวลตองปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าขององค์พระ และหากเป็นผิวที่ปรากฏแป้งโรยพิมพ์มาแต่เดิม ก็จะปรากฏแป้งโรยพิมพ์ที่มีความหนายิ่งขึ้น
ผิวเรียบ หมายถึงผิวที่มีสัณฐานค่อนข้างหนาและมีการยึดตัวแนบแน่นกับเนื้อ และเป็นผิวที่มีความแกร่งสูงกว่าผิว 2 ประเภทแรก ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจากเนื้อที่ค่อนข้างนุ่มและเนื้อที่มีความแกร่งในระดับสูง โดยเป็นผิวที่มีลักษณะราบเรียบสม่ำเสมอไปกับเนื้อ และไม่มีลักษณะฟูตัว ซึ่งจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 3.1 ผิวเรียบบาง ซึ่งเกิดจากเนื้อปูนนุ่ม และเนื้อกระยาสารท เป็นผิวที่ไม่หนามาก และมีความนุ่มกว่าผิวเรียบหนา ผิวชนิดนี้มีลักษณะค่อนข้างราบเรียบ และไม่ทำให้เกิดริ้วระแหงบนผิวเนื้อ 3.2 ผิวเรียบหนา เป็นผิวที่เกิดขึ้นจากเนื้อที่มีความแกร่งจัด ซึ่งได้แก่ เนื้อขนมตุ้บตั้บ และเนื้อปูนแกร่ง โดยผิวชนิดนี้เมื่อผ่านการลงรักเก่าแล้วจะเกิดการแตกลายงา และจัดเป็นผิวที่มีความแกร่งมากที่สุด ซึ่งในพระสมเด็จบางองค์จะแตกริ้วระแหง โดยมีสัณฐานหนากว่าผิวเรียบบางและจับเนื้อพระอย่างแข็งแรงและแน่นหนา จึงทำให้พระสึกหรอได้ยาก และหากผ่านการใช้งานโดยสัมผัสกับเหงื่อก็จะมีวรรณะขาวใสและกระจ่าง ราบเรียบเป็นเงาประดุจผิวกระเบื้อง
ผิวฟู เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีลักษณะฟูตัว โดยมีผิวหน้าเป็นเกล็ดกระดี่อย่างละเอียด ทำนองเดียวกับผิวของดินสอพอง หรือหินลับมีด ซึ่งการฟูตัวของผิวนี้จะคล้ายกับเป็นการสร้างผิวนอกขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ผิวชนิดนี้สันนิษฐานว่าเกิดจากเนื้อที่ค่อนข้างเหลวมากในขณะที่สร้าง จึงทำให้เกิดเยื่อครีมซ้อนขึ้นมาบนส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่สัมผัสกับแม่พิมพ์ ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 4.1 ผิวฟูบาง เป็นผิวฟูที่มีเยื่อครีมหรือเกล็ดกระดี่ที่ไม่หนามาก และ 4.2 ผิวฟูหนา ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับผิวฟูบาง แต่มีสัณฐานหนากว่า ซึ่งการเกิดผิวชนิดนี้สันนิษฐานว่าเกิดจากความเหลวของเยื่อครีมที่ผสมกับแป้งโรยพิมพ์ในขณะสร้าง จึงผสมผสานตัวกันจนเกิดความหนามาก ซึ่งการฟูของผิวที่เกิดจากการผสมผสานตัวกันนี้ จะทำให้เกิดฟองอากาศ หรือปฏิกริยาปูนเดือด และคงมีความเป็นไปทำนองเดียวกันกับการเกิดการแตกลายงา กล่าวคือ จะเกิดขึ้นเฉพาะด้านหน้าขององค์พระเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีความนุ่มนวล และมักจะมีสีเทาอ่อน สีหม่น หรือสีเขียวก้านมะลิอ่อน
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ เนื้อแก่ปูนเปลือกหอย แสดงการยุบตัวของเนื้อและผิวพระอย่างสูง
เนื่องจากการสร้างพระสมเด็จใช้วัสดุหลักในการสร้างคือปูนขาว ซึ่งทำมาจากเปลือกหอยเผา โดยนำมาผสมกับน้ำและวัสดุอื่นๆ[19] ดังนั้น เนื้อพระสมเด็จจึงมีกระบวนการเกิดปฏิกริยาและวิวัฒนาการเช่นเดียวกันกับการเกิดปฏิกริยาของปูนโดยทั่วไป ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดของขั้นตอนการเกิดปฏิกริยาดังต่อไปนี้[20]
ตามทฤษฎีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป กระบวนการแข็งตัวของคอนกรีตปูนขาวและปูนชนิดอื่นๆ เกิดขึ้นหลายขั้นตอน โดยขั้นตอนแรก ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน มีลักษณะเฉพาะคือการก่อตัวของผลึกแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (หรือ ปอร์ตแลนไดต์) ตามปฏิกิริยาดังมีรายละเอียดตามสมการที่ (1)
CaO + H2 O → Ca(OH)2 (1)
ซึ่งมีการสะสมของผลึกที่ก่อตัวขึ้นเพิ่มเติม ขั้นตอนที่สองมีลักษณะเฉพาะคือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของผลึกแคลเซียมไฮดรอกไซด์จากการทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีอยู่ในอากาศดังมีรายละเอียดตามสมการที่ (2)
Ca(OH)2 + CO2 + H2 O → CaCO3 + 2H2 O (2)
ซึ่งในกระบวนการที่เรียกว่าการเกิดคาร์บอเนต (carbonation) นี้ น้ำที่เป็นส่วนประกอบของสารตั้งต้นจะถูกปล่อยออกมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ ดังนั้น ในช่วง 1-2 ปีแรกภายหลังจากการสร้าง เนื้อปูนขาวขององค์พระจึงดูชุ่มชื้นตลอดเวลา (หรือที่เรียกกันว่าเนื้อเปียก) ซึ่งในระหว่างการเกิดปฏิกิริยานี้ ในขั้นตอนแรก แคลเซียมคาร์บอเนต (ในรูปของผลึกแคลไซต์ (Calcite) อะราโกไนต์ (Aragonite) และ วาเทอร์ไรต์ (Vaterite) โดยที่แคลไซต์เป็นผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตที่เสถียรที่สุด) ซึ่งมีอยู่หนาแน่นในชั้นนอกสุดจะก่อตัวขึ้น ซึ่งทำให้คาร์บอนไดออกไซด์เจาะลึกเข้าไปทำปฏิกริยาในเนื้อพระได้ยาก ซึ่งจะทำให้กระบวนการเกิดปฏิกิริยาช้าลงอย่างมากแต่ยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากเนื้อปูนขาวมีความพรุนสูงพอสมควร โดยเนื้อปูนทั้งหมดจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแคลไซต์ซึ่งทำให้เนื้อปูนมีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ซึ่งกระบวนการการเกิดคาร์บอเนตเป็นที่รู้จักกันดีและมีการศึกษาอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการเกิดคาร์บอเนตตามธรรมชาติของคอนกรีตในปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ และการผลิตคอนกรีตซิลิเกตที่มีการเร่งกระบวนการเกิดคาร์บอเนต[21] [22] [23] โดยที่กระบวนการการก่อตัวของปอร์ตแลนไดต์ และการเกิดคาร์บอเนตในลำดับถัดมาเพื่อตกตะกอนโพลีมอร์ฟของแคลเซียมคาร์บอเนต ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างดีในเอกสารวิจัย[24]
การเกิดคาร์บอเนตของปอร์ตแลนไดต์ (Ca(OH)2 ) ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเทคนิคหลายประการ ซึ่งได้แก่ การกระจายตัวของอนุภาคปูนขาว ปริมาณน้ำในปูน ความผันผวนของอุณหภูมิ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการมีอยู่ของสารที่มีส่วนทำให้เกิดการเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ภายในมวลสารที่ตกผลึก เช่น การใส่วัสดุอินทรีย์บางชนิด เช่น มวลสารที่เป็นสารอินทรีย์ต่างๆ และวัสดุประสาน เช่น กล้วย ข้าวสุก น้ำอ้อยเคี่ยว หรือน้ำมันตังอิ๊ว เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในขั้นตอนการตกผลึกซ้ำ (recrystallization) ในพระสมเด็จวัดระฆังฯ ซึ่งมีส่วนผสมของมวลสารซึ่งเป็นสารอินทรีย์อยู่ในอัตราส่วนที่สูง เมื่อพารามิเตอร์ด้านสิ่งแวดล้อมมีค่าค่อนข้างสม่ำเสมอจึงทำให้เราสามารถตัดปัจจัยบางประการออกจากการพิจารณาได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และความผันผวนของอุณหภูมิตามฤดูกาล เนื่องจากระดับของการประมาณการมีระยะเวลาที่ยาวนานคืออยู่ในช่วงหลายทศวรรษ ซึ่งจะมีเพียงการเพิ่มความชื้นในระยะยาวเท่านั้นที่มีผล ซึ่งจะเพิ่มการแยกตัวของคาร์บอเนตและไบคาร์บอเนตโดยกรดคาร์บอนิก และการกระตุ้นโดยปฏิกิริยาการแลกเปลี่ยนไอออนในสถานะของเหลว[25]
ควบคู่ไปกับกระบวนการเกิดคาร์บอเนต โครงสร้างของปูนสามารถแข็งแรงขึ้นได้จากปฏิกิริยาของแคลเซียมไฮดรอกไซด์กับซิลิกา ซึ่งมีอยู่ในหินต่างๆและเซรามิกส์ – ปอยภูเขาไฟ และเถ้าภูเขาไฟ หินโอปอล - คริสโตบาไลต์ซิลิกา หินกรดภูเขาไฟ เซรามิกแบทเทิล และอื่นๆ[26] [27] ซึ่งหินและวัสดุเหล่านี้สามารถทำหน้าที่เป็นมวลรวมที่ละเอียดและเป็นส่วนประกอบของสารยึดเกาะ ซึ่งเป็นผลมาจากไฮโดรซิลิเกตของแคลเซียมที่เกิดขึ้นโดยมีปริมาณน้ำที่แปรผันตามปฏิกิริยา ดังนั้น การใช้ทรายซึ่งประกอบด้วยซิลิกาเป็นส่วนผสมของมวลสารจึงมีผลโดยตรงต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเนื้อพระ ดังมีรายละเอียดการทำปฏิกริยาแสดงในสมการที่ (3)
Ca(OH)2 + SiO2 → CaO × SiO2 × nH2 O. (3)
ขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยาวนานที่สุดของ "ชีวิต" ของปูนขาว คือ ขั้นตอนที่เรียกว่าขั้นตอนการตกผลึกซ้ำของแคลไซต์ ซึ่งเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเติบโตของผลึกขนาดเล็กของแคลไซต์ และการเพิ่มขึ้นของระดับของการจัดระเบียบโครงสร้างที่เป็นโครงผลึก
นอกจากนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าหลังจากการผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิก รวมถึงอิฐเซรามิก จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีกายภาพ เฟส และแร่วิทยา ที่สามารถช่วยกำหนดอายุของวัสดุได้ แต่สำหรับปูนขาวแล้ว ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและแร่วิทยาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้เราสามารถใช้คุณสมบัตินี้ในการกำหนดอายุของวัตถุโบราณโดยทางอ้อมได้[28]
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ เศียรโต พุทธศิลป์ยุคกลาง
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พุทธศิลป์ยุคกลาง
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ เกศทะลุซุ้ม ลงรักปิดทอง พุทธศิลป์ยุคปลาย แกะแม่พิมพ์โดยหลวงวิจารณ์เจียรนัย
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ เกศทะลุซุ้ม ลงรักบุทอง พุทธศิลป์ยุคปลาย
การสร้างพระของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีวิวัฒนาการจากจุดเริ่มต้นด้วยฝีมือชาวบ้านที่แกะแม่พิมพ์แบบง่ายๆ จนสุดท้ายเป็นงานฝีมือของช่างหลวงที่มีความปราณีต พิถีพิถัน และงดงาม และยังสร้างพระสมเด็จในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายมากมาย โดยได้มีการประมาณช่วงระยะเวลาในการสร้างพระสมเด็จของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นสามช่วงหรือสามยุค คือ[29]
ยุคแรกที่ท่านเริ่มสร้างพระ (ประมาณปี พ.ศ. 2355 – 2393) ซึ่งยังอยู่ในช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ ๓ โดยใช้แม่พิมพ์ที่แกะจากไม้ ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ที่เป็นฝีมือของช่างพื้นบ้าน จึงยังไม่งดงามนัก มีการกล่าวอ้างว่าสมเด็จโตได้แกะแม่พิมพ์เองเพื่อใช้พิมพ์พระสมเด็จด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปมิติขององค์พระจะตื้นขาดความนูนสูงและลึก ลายเส้นของเส้นซุ้มและองค์พระยังไม่สม่ำเสมอ เนื้อพระเป็นปูนเปลือกหอยเผาที่ตำจนละเอียดซึ่งนำแบบอย่างมาจากการสร้างพระเนื้อปูนของสมเด็จพระสังฆราชสุก การสร้างพระในช่วงแรกๆ นี้ ท่านเพิ่งบวชเรียนเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้ไม่นานยังมีพรรษาในการบวชไม่มากนัก การจัดทำมวลสารมงคลเป็นส่วนผสม หรือเริ่มมีการนำมวลสารอื่นๆ ที่ใส่ผสมลงไปขณะปั้นปูนเพื่อพิมพ์พระ ซึ่งยังแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เมื่อท่านได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาจนเริ่มทำผงพุทธคุณเพื่อใช้เป็นมวลสารหลัก และนำมวลสารมงคลอื่นๆ ที่ท่านเก็บสะสมไว้มาผสมเพิ่มเติมเพื่อพิมพ์พระในวาระต่างๆ ส่วนตัวประสานให้เนื้อปูนจับตัวกันได้ดีขึ้นนั้นเป็นข้าวสุกและกล้วยที่ตำจนละเอียด น้ำผึ้ง น้ำตาลเคี่ยวจนเหนียว พระที่พิมพ์เสร็จแล้วก็จะนำไปผึ่งลมจนแห้ง เนื้อพระของพระสมเด็จที่สร้างในช่วงเวลานี้จะดูแห้งแกร่ง สีของเนื้อพระจะขึ้นอยู่กับมวลสารที่ใช้เป็นส่วนผสม พระสมเด็จที่สร้างขึ้นในช่วงเวลานี้จะมีพัฒนาการในการแกะแม่พิมพ์ให้งดงามยิ่งขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมของนักสะสมในเชิงพุทธพาณิชย์ จึงเหมาะกับการสะสมเพื่อเรียนรู้พัฒนาการของการสร้างพระสมเด็จ และได้เห็นเนื้อพระที่มีส่วนผสมของมวลสารที่มีความหลากหลาย สภาพของเนื้อพระจะแห้งและแกร่ง ผิวพระจะมีทั้งเนียนแน่นและที่แตกลายเห็นได้ชัดเจน ช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ สมเด็จโตได้ออกธุดงค์ไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะ การออกธุดงค์ในช่วงเวลานี้ ท่านได้พบพระกรุจากเจดีย์เก่าแก่หลายแห่ง แต่จะมีการกล่าวอ้างอิงเฉพาะการเก็บรวบรวมพระจากกรุกำแพงเพชรมาไว้ที่วัดระฆังฯ เท่านั้น ไม่ได้กล่าวอ้างอิงถึงพระกรุอื่นๆ ซึ่งต่อมาท่านได้นำพระกรุกำแพงเพชรที่แตกหักชำรุดมาตำเป็นผงมงคลผสมลงในเนื้อปูนในขณะที่เตรียมพิมพ์พระสมเด็จ พระสมเด็จที่ทำขึ้นหลังจากที่ท่านได้รวบรวมพระกรุกำแพงเพชรมาแล้วจึงมีผงพระกรุกำแพงเพชรที่ตำละเอียดแล้วเป็นหนึ่งในมวลสารที่เป็นส่วนผสมหลักเรื่อยมา
ยุคกลางของการสร้างพระสมเด็จ (ประมาณปี พ.ศ. 2394 – 2407) เป็นช่วงเวลาเริ่มเข้าสู่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงมีพระบรมราชโองการให้ตามตัวสมเด็จโตเพื่อมาเข้าเฝ้า ทั้งนี้เพราะสมเด็จโตมีความใกล้ชิดกับทั้ง รัชกาลที่ ๔ และ สมเด็จพระปิ่นเกล้า (ซึ่งดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในสมัยนั้น) โดยสมเด็จโตยินยอมรับการแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิตติ และยังคงเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ในช่วงเวลาในปี พ.ศ. 2401 ซึ่งมีการสมโภชพระธาตุพนมจำลอง สมเด็จโตจึงได้สร้างพระสมเด็จในรูปแบบต่างๆ มากมายเพื่อบรรจุไว้ในองค์พระธาตุพนมจำลอง[30] โดยมีช่างหลวงมาช่วยแกะแม่พิมพ์พระที่ทำขึ้นมาใหม่ รูปทรงของพระสมเด็จจึงมีความงดงามมากขึ้น มิติขององค์พระมีความนูนสูงและลึกต่ำมากขึ้น การสร้างพระในช่วงเวลานี้จะมีทั้งการนำแม่พิมพ์เก่าที่คัดเลือกแล้วมาใช้พิมพ์พระ และมีแม่พิมพ์ที่แกะขึ้นมาใหม่ด้วย โดยลักษณะของพิมพ์พระส่วนใหญ่จะมีความปราณีตและมีมิติความสูงต่ำขององค์พระ มีลายเส้นและรูปทรงเป็นสัดส่วนที่งดงามขึ้น เนื้อปูนเปลือกหอยเผาและมวลสารที่นำมาใช้พิมพ์พระส่วนหนึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคต้น แต่จะเริ่มนำปูนกังไส (ปูนเพชร) ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน (เพื่อนำมาทำเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นเครื่องลายครามและเบญจรงค์) มาเป็นส่วนผสมในการสร้างพระสมเด็จที่พิมพ์พระในวัง ทั้งการสร้างพระจากปูนกังไสล้วนๆ และการนำปูนกังไสมาผสมกับปูนเปลือกหอย ดังนั้น เนื้อพระสมเด็จที่สร้างในยุคนี้จึงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการนำปูนกังไสมาเป็นส่วนผสมหรือไม่ หรือนำมาผสมในสัดส่วนที่มากน้อยต่างกันเพียงใด กลุ่มนักสะสมพระสมเด็จเชิงพาณิชย์จึงกำหนดเป็นเงื่อนไขว่าเนื้อพระสมเด็จที่นิยมนั้นจะต้องเป็นเนื้อพระที่ใช้เปลือกหอยเผาตำละเอียดเป็นหลักเท่านั้น ความแตกต่างของเนื้อปูนเปลือกหอยและเนื้อปูนกังไสจะอยู่ที่สภาพผิวที่มองเห็นและแยกแยะได้ชัดเจน เพราะเนื้อปูนกังไสจะมีความละเอียดและมีสีขาวมากกว่า เมื่อแห้งตัวแล้วเนื้อพระจะยุบหดตัวน้อยกว่า และมีความละเอียดแน่นมากกว่า จึงไม่ค่อยมีการแตกลายที่ผิวให้เห็น นอกจากนี้ สภาพผิวของพระจะดูสดใสแวววาวมากกว่า ส่วนพระสมเด็จที่ใช้เนื้อปูนเปลือกหอยเป็นหลักแต่มีส่วนผสมของปูนกังไสอยู่ด้วย เนื้อพระจะมีความละเอียดแน่นมากกว่าเนื้อปูนเปลือกหอยเพียงอย่างเดียว เนื้อพระก็จะดูขาวเนียนสะอาดตา การยุบตัวของเนื้อพระและการแตกลายก็จะเกิดขึ้นเพียงเบาบางเท่านั้น สภาพผิวพระจะดูตึงกว่าเมื่อใช้ปูนเปลือกหอยเพียงอย่างเดียว พระสมเด็จที่สร้างในยุคนี้มีหลายพิมพ์ที่จัดเป็นพิมพ์นิยม และสร้างขึ้นก่อนที่สมเด็จโตจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ แต่ยังมีการอ้างจากกลุ่มพุทธพาณิชย์ว่าพระสมเด็จที่แท้จริงจะต้องพิมพ์พระในบริเวณวัดระฆังฯ และต้องสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์แล้วเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจว่ามีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ จำนวนเพียงน้อยนิด ซึ่งทำให้พระสมเด็จวัดระฆังฯ มีมูลค่าทางพุทธพาณิชย์สูง แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าพระสมเด็จองค์ใดพิมพ์พระในบริเวณวัดระฆังฯ หรือในบริเวณเขตพระราชวัง จึงสันนิษฐานว่าพระสมเด็จที่พิมพ์พระในเขตวัดระฆังฯ จะใช้ทั้งแม่พิมพ์เก่าที่คัดเลือกไว้และแม่พิมพ์ที่แกะขึ้นใหม่บางส่วนเพื่อพิมพ์พระ ส่วนพระสมเด็จที่พิมพ์พระในเขตพระราชวังในงานพิธีต่างๆ นั้น จะใช้แม่พิมพ์ที่แกะโดยช่างหลวงเป็นหลัก ข้อแตกต่างนี้อาจจะสังเกตได้จากความเรียบร้อยขององค์พระ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพระสมเด็จที่พิมพ์พระโดยช่างหลวงจะมีความปราณีตในการกดพิมพ์และการตัดขอบพระ องค์พระจึงมีความงดงามสมบูรณ์มากกว่าการพิมพ์พระโดยชาวบ้านหรือลูกศิษย์วัด
ยุคปลายของการสร้างพระสมเด็จของสมเด็จโต (ปี พ.ศ. 2408 – 2415) เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จโตได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ และประจวบกับวิธีการสร้างพระสมเด็จมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งการทำแม่พิมพ์และการปรับส่วนผสมที่เติมลงในเนื้อปูน หากศึกษาประวัติการสร้างพระของสมเด็จโตจะมีการกล่าวอ้างถึงหลวงวิจารณ์เจียรนัย ซึ่งเป็นช่างทองของราชสำนักซึ่งมีเชื้อสายจีน ด้วยเหตุที่ท่านศรัทธาในองค์สมเด็จโตและมากราบเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ท่านจึงได้สังเกตเห็นพระสมเด็จที่ผึ่งตากไว้มีรอยแตกที่ผิวมากบ้างน้อยบ้าง จึงได้แนะนำให้ใช้น้ำมันตังอิ๊ว ซึ่งมีลักษณะเหนียวข้น มาผสมในเนื้อปูน น้ำมันตังอิ๊วจะทำให้พระที่ผึ่งตากไว้แห้งตัวช้าลง เมื่อพระที่ผึ่งไว้แห้งสนิทดีแล้วสภาพผิวของพระจึงไม่แตกลายหรือแตกลายน้อยมาก นอกจากนี้ น้ำมันตังอิ๊วยังทำให้ผิวของเนื้อปูนที่พิมพ์พระมีสภาพที่เป็นมันวาวดูนุ่มตาสวยงามขึ้น หลวงวิจารณ์เจียรนัยยังริเริ่มที่จะนำหิน (ซึ่งได้แก่ หินอ่อน หรือหินชนวน) มาใช้ทำแม่พิมพ์และแกะแม่พิมพ์ถวายสมเด็จโตจำนวนหนึ่ง การแกะแม่พิมพ์จากหินนี้ สามารถแกะรายละเอียดและพิมพ์ทรงขององค์พระได้ละเอียดคมชัด และงดงามกว่าการใช้แม่พิมพ์ที่แกะจากไม้ ดังนั้น พระสมเด็จที่ใช้แม่พิมพ์ของหลวงวิจารณ์เจียรนัยและของช่างหลวงที่แกะแม่พิมพ์เพิ่มเติมจากหินในทำนองเดียวกัน จึงเป็นพระสมเด็จที่มีพุทธลักษณะที่งดงาม มีมิติความนูนสูงและต่ำลึกชัดเจน ลายเส้นของเส้นซุ้มและองค์พระคมชัด พระสมเด็จที่มีส่วนผสมของน้ำมันตังอิ๊วนี้จะมีสภาพผิวที่ค่อนข้างตึงกว่าพระที่สร้างในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ การยุบหดตัวของเนื้อปูนเปลือกหอยมีให้เห็นแต่จะไม่มากนักเพราะใช้เวลาในการแห้งตัวช้ากว่า การแตกลายที่ผิวหน้าขององค์พระจะมีบ้างเพียงเล็กน้อย ร่องรอยที่เกิดจากการแตกลายที่ผิวพระจะละเอียดไม่ลึก เมื่อส่องกล้องขยายดูเนื้อพระจะเห็นความหนึกนุ่มและสภาพผิวพระที่เป็นมันวาว พระสมเด็จที่สร้างขึ้นในยุคนี้อาจจะมีการใช้ผงปูนสี หรือยางไม้จำนวนเล็กน้อยผสมลงไปในเนื้อปูนในขณะที่เตรียมปั้นลูกปูน เพื่อใช้พิมพ์พระ ส่วนมากจะเป็นเนื้อสีเหลืองอ่อน และน้ำตาลอ่อน หรือไม่ก็ผสมสีในผงปูนที่ใช้เป็นแป้งโรยแม่พิมพ์ก่อนที่จะพิมพ์พระแต่ละครั้ง สีของแป้งโรยพิมพ์จะเห็นเฉพาะที่ผิวพระไม่ซึมลึกลงไปในเนื้อพระ ประเด็นของแม่พิมพ์ที่ทำขึ้นโดยหลวงวิจารณ์เจียรนัยนี้ยังมีข้อถกเถียงกันอีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มพุทธพาณิชย์บางคนออกมาปฏิเสธตัวตนของหลวงวิจารณ์เจียรนัย หรือการอ้างว่าพระสมเด็จที่ใช้แม่พิมพ์ของหลวงวิจารณ์เจียรนัยเป็นพระที่สร้างขึ้นภายหลังจากที่สมเด็จโตได้มรณภาพไปแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับไปดูรูปภาพของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสือโดยเฉพาะพิมพ์ใหญ่นั้น เป็นพระสมเด็จที่พิมพ์พระจากแม่พิมพ์ของหลวงวิจารณ์เจียรนัยเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เห็นว่าความน่าเชื่อในกลุ่มพุทธพาณิชย์นั้นมีน้อยมาก อีกทั้งยังขาดตรรกะทั้งในเชิงเหตุและผลในข้ออ้างที่หยิบยกขึ้นมา[31]
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งยุคในการการสร้างพระสมเด็จออกเป็น 4 ยุค โดยมีเนื้อหาในการแบ่งยุคที่คล้ายคลึงกัน คือ[32]
ยุคแรก (ยุคต้น) ยังไม่ใช่พิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟัก
ยุคที่สอง (ยุคกลาง) เป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่แกะพิมพ์โดยช่างชาวบ้านหรือช่างสิบหมู่
ยุคที่สาม (ยุคปลาย) เป็นพิมพ์สวยงามของหลวงวิจารณ์เจียรนัย มีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีกรอบบังคับพิมพ์ และซุ้มด้านซ้ายแตะกรอบขององค์พระบริเวณศอกด้านซ้ายขององค์พระ
ยุคที่สี่ เป็นพิมพ์ยุคหลัง ไม่ทันการสร้างและปลุกเสกโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต
จากประวัติการสร้างพระสมเด็จดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่ามีมาตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ ๒ จนถึงสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ พระสมเด็จจึงจัดเป็นโบราณวัตถุซึ่งนอกจากจะทรงคุณค่าทางด้านความงดงามทางพุทธศิลป์แล้ว ยังเป็นพระเครื่องฯ ที่ทรงคุณค่าทางด้านอิทธิพุทธกฤตยาคมอีกด้วย ดังนั้น การประเมินอายุและความเก่าของพระสมเด็จจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพิสูจน์อัตลักษณ์ของพระสมเด็จซึ่งเป็นของแท้ โดยสามารถประเมินอายุขององค์พระซึ่งเป็นของดั้งเดิมได้จาก
การศึกษาจากลักษณะพิมพ์ทรงและพุทธศิลป์
การศึกษาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาลักษณะทางกายภาพและทางเคมีขององค์พระ ซึ่งได้แก่ การใช้กล้องจุลทรรศน์ขนาดกำลังขยายสูง การประเมินอายุพระสมเด็จโดยใช้เทคนิคการทำปฏิกริยากับสารละลายกรด การศึกษาโดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) และการศึกษาโดยใช้เทคนิค X-Ray Fluorescence Spectrometry (XRF)
ในที่นี้จะกล่าวถึงวิธีการประเมินความเก่าและอายุของพระสมเด็จซึ่งใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย 2 วิธีคือ การประเมินอายุของพระสมเด็จโดยใช้เทคนิคการทำปฏิกริยากับสารละลายกรด และการประเมินอายุโดยใช้เทคนิค X-Ray Fluorescence Spectrometry (XRF)
การประเมินอายุพระสมเด็จโดยใช้เทคนิคการทำปฏิกริยากับสารละลายกรด
การประเมินอายุพระสมเด็จโดยใช้เทคนิคการทำปฏิกริยากับสารละลายกรด เป็นการประเมินอายุของพระสมเด็จซึ่งถือเป็นโบราณวัตถุ โดยอาศัยการศึกษาธรรมชาติและกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีของปูนขาวหรือปูนเปลือกหอยซึ่งเป็นวัสดุหลักในการสร้าง ในรูปของการเกิดและวิวัฒนาการของแคลไซต์ จากนั้น จึงอาศัยการศึกษาคุณลักษณะของการเกิดฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกริยากับสารละลายกรดอินทรีย์ ก็จะสามารถประมาณการอายุขององค์พระได้ ซึ่งการใช้วิธีการนี้มีข้อได้เปรียบคือ ไม่ต้องทำลายตัวอย่าง มีต้นทุนในการทดสอบต่ำ ใช้ระยะเวลาในการทดสอบไม่มาก และมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ
เทคนิคและวิธีการ
ที่ผ่านมาการประเมินอายุของพระสมเด็จต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยการพิจารณาจากพิมพ์ทรงของพระว่าเป็นของยุคใด และการใช้กล้องขยายขนาดกำลังขยายประมาณ 10 เท่าในการตรวจสอบเนื้อหาและลักษณะทางกายภาพขององค์พระ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพระสมเด็จที่มีอายุเก่าแก่มักจะมีร่องรอยของการหดตัวและยุบตัวของเนื้อปูน ดังปรากฏเป็นร่องรอย ยุบ ย่น ย่อ[33] แต่ด้วยเหตุที่การประเมินอายุของพระสมเด็จจำเป็นต้องใช้องค์ความรู้เฉพาะทางหลายด้าน และการสั่งสมประสบการณ์ในการพิจารณาพระ ซึ่งต้องอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ จึงทำให้ศาสตร์และองค์ความรู้ดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะในระดับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ไม่เป็นที่แพร่หลายในระดับสาธารณะ นอกจากนี้ ความหลากหลายในด้านเนื้อหาของพระสมเด็จซึ่งได้แก่พิมพ์ทรง เนื้อพระ ผิวพระ การใช้งาน และการเก็บรักษา ซึ่งตัวแปรเหล่านี้อาจเพิ่มความซับซ้อนในการพิจารณา และอาจอยู่นอกเหนือองค์ความรู้และประสบการณ์ของผู้พิจารณา ก็อาจทำให้การประเมินอายุ ความแท้ และความถูกต้องมีโอกาสคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ ดังนั้น การพัฒนาเทคนิคและวิธีการใหม่ๆ ในการตรวจสอบและประเมินอายุของพระสมเด็จจึงมีความสำคัญ[34] [35]
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงของแคลเซียมในองค์พระสมเด็จนับตั้งแต่เมื่อเริ่มสร้างประกอบไปด้วย ปอร์ตแลนไดต์ การเกิดคาร์บอเนต และการตกผลึกซ้ำ ดังมีรายละเอียดของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมี ตลอดจนระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของพระสมเด็จดังปรากฏในตารางที่ 1[36]
ข้อมูลเพิ่มเติม กระบวนการ, ระยะเวลาที่ใช้ ...
ตารางที่ 1 ระยะเวลาของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีของพระสมเด็จ
กระบวนการ ระยะเวลาที่ใช้
ปอร์ตแลนไดต์ 1 เดือน
การเกิดคาร์บอเนต 1 – 2 ปี
การตกผลึกซ้ำ มากกว่า 2 ปี
ปิด
จากตารางที่ 1 และประวัติการสร้างพระสมเด็จทำให้เราทราบว่าพระสมเด็จซึ่งเป็นของแท้และดั้งเดิมจะมีอายุประมาณ 150 ถึง 200 ปี[37] ซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีของพระสมเด็จจะอยู่ในขั้นตอนของการตกผลึกซ้ำเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่ควรปรากฏองค์ประกอบทางเคมีในช่วงของกระบวนการปอร์ตแลนไดต์ และการเกิดคาร์บอเนตในระยะแรกในพระสมเด็จแท้ ในทางตรงกันข้าม พระสมเด็จซึ่งเป็นของดั้งเดิมควรจะประกอบไปด้วยผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตหรือแคลไซต์ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เสถียรซึ่งมีขนาดและเสถียรภาพในระดับที่แตกต่างกันปะปนกันอยู่ (และอาจหมายถึงการปรากฏของผลึกอะราโกไนต์ และวาเทอร์ไรต์ อยู่ในองค์พระที่ทำการวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน)
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเมื่อแคลเซียมคาร์บอเนตทำปฏิกริยากับสารละลายกรดจะเกิดเกลือของแคลเซียม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ ดังมีรายละเอียดการทำปฏิกิริยาแสดงในสมการที่ (4) และ (5)[38]
2CH3 COOH (aq) + CaCO3 (s) → Ca(CH3 COO) (aq) CO2 (g) + H2 O (l) (4)
หรือ CaCO3 + 2H+ → Ca2+ + H2 O + CO2 (5)
จากสมการที่ (4) CH3 COOH (aq) คือสารละลายกรดอะซีติก CaCO3 (s) คือผลึกแคลไซต์ Ca(CH3 COO) (aq) คือเกลือแคลเซียมอะซีเตต CO2 (g) คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ H2 O (l) คือน้ำ ซึ่งจากระบบการทำปฏิกริยาดังกล่าวซึ่งประกอบด้วยสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ซึ่งมีอยู่ครบทั้ง 3 สถานะคือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ โดยในส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น จะปรากฏเป็นฟองซึ่งอยู่ในหยดของเหลวที่ใช้ทดสอบ
จากหลักการดังที่ได้กล่าวมา จึงเป็นที่มาของการประเมินอายุพระสมเด็จโดยการใช้สารละลายกรดอินทรีย์เข้าทำปฏิกริยากับผลึกแคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งอยู่ในรูปของแคลไซต์ ซึ่งปฏิกริยาดังกล่าวก่อให้เกิดฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหยดของของเหลวที่หยดลงบนองค์พระ โดยหยดของสารละลายกรดที่หยดลงบนผิวพระจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 - 2.0 มม. ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากปฏิกิริยานี้จะก่อให้เกิดฟองที่มีลักษณะเฉพาะ[39] ซึ่งฟองก๊าซที่เกิดขึ้นจะมีขนาดและอัตราการเกิดฟองก๊าซที่แตกต่างกัน ดังมีรายละเอียดของการเกิดฟองก๊าซแสดงในตารางที่ 2
ข้อมูลเพิ่มเติม ลักษณะของฟอง, ขนาดของฟองโดยประมาณ (มม.) ...
ตารางที่ 2 ลักษณะของฟองก๊าซและเกณฑ์ในการประเมินอายุพระสมเด็จ
ลักษณะของฟอง ขนาดของฟองโดยประมาณ (มม.) เกณฑ์ประเมินอายุ
ไม่มีฟอง --- พระไม่ได้สร้างด้วยปูน อาจสร้างจากเรซิ่นหรือวัสดุอื่น
ฟองเล็ก เกาะติดที่ผิวพระ ไม่ขยับ X ≤ 0.1 เป็นพระใหม่
ฟองเล็ก ลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว X ≤ 0.1 เป็นพระมีอายุหลายสิบปี
ฟองเล็กและฟองใหญ่ สลับกันลอยขึ้น 0.1 ≤ X ≤ 0.5 เป็นพระมีอายุ อาจเป็นพระสมเด็จยุคปลายหรือยุคกลาง
ฟองใหญ่ ลอยขึ้นช้า อยู่ในหยดสารละลายนาน 0.3 ≤ X ≤ 0.5 เป็นพระเก่ามีอายุ อาจเป็นพระสมเด็จยุคต้นหรือยุคกลาง
ปิด
การตั้งสมมุติฐานของธรรมชาติของการเกิดฟองก๊าซ
จากข้อมูลที่แสดงในตารางที่ 2 สามารถนำมากำหนดข้อสมมุติฐานได้ดังนี้
1. ไม่มีฟองเกิดขึ้น เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการสร้างพระไม่ใช่ปูน อาจเป็นวัสดุประเภทอื่น เช่น เรซิ่น เป็นต้น
เกิดฟองก๊าซขนาดเล็กและไม่มีการเคลื่อนไหว
2. เกิดฟองขนาดเล็กเกาะติดที่ผิวพระและฟองไม่ขยับ (X ≤ 0.1 มม.) สันนิษฐานได้ว่าผิวพระที่ใช้ทดสอบผ่านกระบวนการการเกิดคาร์บอเนตโดยมีบางส่วนตกผลึกเป็นแคลไซต์ แต่ผลึกมีขนาดเล็กมากและอยู่อย่างกระจัดกระจายเนื่องจากการตกผลึกซ้ำของแคลไซต์ยังเกิดขึ้นไม่มาก ซึ่งตำแหน่งที่เกิดฟองคือตำแหน่งที่ผลึกแคลไซต์ทำปฏิกิริยากับสารละลายกรด เนื่องจากขนาดของผลึก ปริมาณของผลึก และเสถียรภาพของผลึกแคลไซต์มีความสัมพันธ์กับอายุของพระ ดังนั้น การเกิดฟองขนาดเล็กจึงมีความสัมพันธ์กับอายุขององค์พระซึ่งยังไม่มาก (ความเก่าระดับที่ 1)
เกิดฟองก๊าซขนาดเล็กและลอยตัวขึ้น
3. เกิดฟองขนาดเล็กและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว (X ≤ 0.1 มม.) สันนิษฐานได้ว่าผิวพระที่ใช้ทดสอบผ่านกระบวนการการเกิดคาร์บอเนตโดยมีบางส่วนตกผลึกเป็นแคลไซต์ แต่ผลึกมีขนาดเล็กและกระจายตัวอยู่ทั่วไปในบริเวณผิวพระ ด้วยเหตุที่การตกผลึกซ้ำของแคลไซต์เริ่มเกิดขึ้นบ้างแต่ยังคงเป็นผลึกที่ยังไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ ดังนั้น เมื่อทำปฏิกริยากับสารละลายกรดจึงเกิดเป็นฟองก๊าซขนาดเล็กและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากขนาดของผลึก ปริมาณของผลึก และเสถียรภาพของผลึกแคลไซต์มีความสัมพันธ์กับอายุของพระ ดังนั้น การเกิดฟองขนาดเล็กและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจึงมีความสัมพันธ์กับอายุขององค์พระซึ่งมีอายุในระดับสิบปีถึงหลายสิบปี (ความเก่าระดับที่ 2)
เกิดฟองก๊าซขนาดเล็กและขนาดใหญ่สลับกันลอยตัวขึ้น
4. เกิดฟองขนาดเล็กและขนาดใหญ่สลับกันลอยขึ้น (0.1 ≤ X ≤ 0.5 มม.) สันนิษฐานได้ว่าผิวพระที่ใช้ทดสอบผ่านกระบวนการการเกิดคาร์บอเนตอย่างสมบูรณ์โดยมีการตกผลึกเป็นแคลไซต์ในผลึกส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากการตกผลึกของแคลไซต์ซึ่งเกิดขึ้นโดยทั่วไปแล้ว ยังเกิดการตกผลึกซ้ำขึ้นโดยทั่วไปอีกด้วย ซึ่งการตกผลึกซ้ำของแคลไซต์จะทำให้ผลึกมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับสารละลายกรดจึงทำให้เกิดฟองก๊าซขนาดใหญ่ซึ่งไม่ปรากฏในสมมุติฐานข้อ 2 และข้อ 3 โดยอาจมีอัตราการลอยตัวขึ้นไม่เท่ากัน ซึ่งแสดงถึงความมีเสถียรภาพของผลึกในระดับต่างๆ ดังนั้น เมื่อทำปฏิกริยากับสารละลายกรดจึงเกิดเป็นฟองก๊าซขนาดเล็กและขนาดใหญ่สลับกันลอยขึ้นในอัตราเร็วที่ต่างกัน หรืออาจจะใกล้เคียงกัน ด้วยเหตุที่ขนาดของผลึก ปริมาณของผลึก และเสถียรภาพของผลึกแคลไซต์มีความสัมพันธ์กับอายุของพระ ดังนั้น การเกิดฟองขนาดเล็กและขนาดใหญ่สลับกันลอยขึ้นจึงมีความสัมพันธ์กับอายุขององค์พระซึ่งมีอายุในระดับมากกว่า 100 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นพระสมเด็จที่สร้างขึ้นในยุคกลางหรือยุคปลาย (ความเก่าระดับที่ 3)
เกิดฟองก๊าซขนาดใหญ่และลอยตัวอยู่ในสารละลายเป็นเวลานาน
5. เกิดฟองขนาดใหญ่ ลอยตัวขึ้นช้า และอยู่ในหยดของสารละลายกรดได้นาน (0.3 ≤ X ≤ 0.5 มม.) สันนิษฐานได้ว่าผิวของพระที่ใช้ทดสอบได้ผ่านกระบวนการการเกิดคาร์บอเนตอย่างสมบูรณ์และมีการตกผลึกซ้ำของแคลไซต์เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่และเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ซึ่งการตกผลึกซ้ำของแคลไซต์จะทำให้ผลึกมีขนาดใหญ่ขึ้น มีจำนวนมากขึ้น และมีการจัดโครงสร้างของผลึกให้เป็นระเบียบมากขึ้น การที่ฟองขนาดใหญ่ลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ แสดงถึงความมีเสถียรภาพของผลึกซึ่งสารละลายกรดเข้าไปทำปฏิกริยา ด้วยเหตุที่ขนาดของผลึก ปริมาณของผลึก และเสถียรภาพของผลึกแคลไซต์มีความสัมพันธ์กับอายุของพระ ดังนั้น การเกิดฟองขนาดใหญ่ลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ จึงมีความสัมพันธ์กับอายุขององค์พระซึ่งมีอายุเก่าแก่ในระดับที่มากกว่า 150 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นพระสมเด็จที่สร้างขึ้นในยุคต้นหรือยุคกลาง (ความเก่าระดับที่ 4)
การอภิปรายสมมุติฐาน
จากหัวข้อการตั้งสมมุติฐานของธรรมชาติของการเกิดฟองก๊าซดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ฟองก๊าซที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกริยาระหว่างสารละลายกรดอินทรีย์และแคลเซียมคาร์บอเนตในรูปของผลึกแคลไซต์จะมีลักษณะไม่ต่อเนื่อง กล่าวคือ การเกิดขึ้นของฟองก๊าซแต่ละฟองจะมีลักษณะเชิงเดี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่าหากปริมาณ H+ ในสารละลายกรดมีปริมาณมากพอ การเกิดฟองก๊าซแต่ละฟองจะเกิดจากการทำปฏิกริยาระหว่างสารละลายกรดและผลึกแคลไซต์แต่ละผลึก หรือกลุ่มของผลึก ซึ่งมีขนาดและเสถียรภาพแตกต่างกัน จึงก่อให้เกิดฟองก๊าซที่มีขนาด ระยะเวลาการเกิด และอัตราเร็วในการลอยตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวของการเกิดฟองก๊าซอาจจะบ่งชี้ถึงการกระจายตัว ขนาด ประเภทของผลึก และความไม่ต่อเนื่องของผลึกแคลไซต์ในเนื้อพระ ซึ่งแม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ แต่ก็สามารถใช้ประเมินอายุและความเก่าของพระสมเด็จโดยอนุมาน หรือโดยประมาณได้ อย่างไรก็ดี การระบุถึงอายุพระเป็นหน่วยปี หรือยุคในการสร้างเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ซึ่งความสามารถเชิงประจักษ์ของเทคนิคนี้คือการระบุได้ว่า ความเก่าระดับที่ 1 มีอายุต่ำที่สุด และความเก่าระดับที่ 4 มีอายุสูงที่สุด ดังนั้น ภายใต้ข้อจำกัดนี้ จึงควรใช้เทคนิคนี้เพื่อเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อประกอบการพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เท่านั้น
บทสรุป
การประเมินอายุของพระสมเด็จโดยการทำปฏิกริยากับสารละลายกรดเป็นวิธีการเชิงคุณภาพที่มีประสิทธิผลในระดับหนึ่ง โดยมีต้นทุน และระยะเวลาในการดำเนินการต่ำ เมื่อเทียบกับการประเมินด้วยวิธีการอื่น เช่น การหาปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตในเนื้อพระโดยใช้เทคนิค X-Ray Fluorescence Spectrometry (XRF) หรือการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM ) นอกจากนี้ วิธีการดังกล่าวยังมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับในระดับหนึ่ง และสามารถให้คำอธิบายซึ่งมีความเป็นรูปธรรมเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้กล้องกำลังขยายขนาด 10 เท่า และการใช้ดุลย์พินิจของผู้พิจารณาตรวจสอบองค์พระแต่เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ดี เพื่อเพิ่มความเป็นรูปธรรมและความน่าเชื่อถือของวิธีการนี้ จึงควรมีการประเมินผลการตรวจสอบร่วมกับการใช้เทคนิคและวิธีการอื่น เช่น การหาปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตในเนื้อพระโดยใช้เทคนิค X-Ray Fluorescence Spectrometry เป็นต้น
องค์ประกอบสำคัญซึ่งเป็นที่มาของพระพุทธคุณและกฤตยานุภาพของพระสมเด็จ นอกจากการบริกรรมปลุกเสกและการอธิษฐานจิตโดยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แล้ว คือ ผงวิเศษ 5 ประการ ซึ่งประกอบด้วย ผงปถมัง อิทธิเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว มิได้มีความหมายว่าเป็นผงแต่ละชนิด แล้วนำมารวมกัน หากแต่ว่าเป็นผงชุดเดียวกันแต่ผ่านกรรมวิธีการสร้างที่ซับซ้อนถึง 5 ขั้นตอน โดยในชั้นต้นทำผงปถมังก่อน แล้วนำผงปถมังนั้นมาทำเป็นผงอิทธิเจ และต่อๆ ไปตามลำดับจนถึงผงตรีนิสิงเห ด้วยเหตุนี้ ผงวิเศษ 5 ประการ จึงทรงกฤตยาคมเข้มขลังที่สุด โดยมีรายละเอียดของพระพุทธคุณและกฤตยานุภาพดังต่อไปนี้[40]
ผงปถมัง มีกฤตยานุภาพทางด้าน เมตตามหานิยม แต่จะเน้นหนักไปทางด้าน คงกะพันชาตรี มหาอุตม์ แคล้วคลาด กำบังล่องหน และป้องกันภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยทั้งปวง
ผงอิทธิเจ เกิดจากการนำผงปถมังที่สำเร็จแล้ว มาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีก จากนั้นจึงเขียนอักขระด้วยสูตรมูลกัจจายน์ และลบด้วยสูตรลบผงอิทธิเจ ผงที่สำเร็จนี้จะมีพุทธคุณทางด้านมหานิยมอย่างสูง และป้องกันรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ผงมหาราช ใช้ผงอิทธิเจ มาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเรียกสูตรมหาราช และลบนามทั้งห้า ผงมหาราชนี้เมื่อสำเร็จแล้วจะมีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยมอย่างสูง สามารถป้องกันและถอนคุณไสย และมีความแคล้วคลาดปลอดภัย
ผงพุทธคุณ ใช้ผงมหาราชมาปั้นทำเป็นดินสอ เรียกสูตรและลบอักขระที่เกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ เป็นผงวิเศษที่ให้คุณในด้านเมตตามหานิยมอย่างสูง กำบัง สะเดาะ และล่องหน
ผงตรีนิสิงเห เป็นผงสุดท้ายเกี่ยวกับสูตรเลขไทยโบราณ รวบรวมผงพุทธคุณที่ลบได้แล้วนำมาปั้นเป็นดินสอ เรียกสูตรอัตตราทวาทศมงคล ๑๒ และทำต่อไปจนบังเกิดเป็นอัตราตรีนิสิงเห สำเร็จเป็นอัตรายันต์ ๑๒ ยันต์สุดท้าย คือ ยันต์นารายณ์ถอดรูป ซึ่งก็คือยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห แล้วจึงประทับลงด้วยยันต์พระภควัมบดี และยันต์ตราพระสีห์เป็นประการสุดท้าย ผงตรีนิสิงเหมีพุทธคุณทางด้าน เมตตามหานิยม ป้องกัน และถอนคุณไสย และภูตผีปีศาจ เขี้ยวเล็บ งา และเขาสัตว์ ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ อัคคีภัย และอันตรายทั้งปวง ตามแต่จะปรารถนา