พระสมเด็จวัดระฆัง คือพระเครื่องรูปพระพุทธเจ้า ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร สร้างขึ้น ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร สูงประมาณ 4 เซนติเมตร สีขาว ส่วนประกอบสำคัญในการสร้าง ปูนเปลือกหอย ข้าวก้นบาตร ผงวิเศษ 5 ชนิดและน้ำมันตังอิ๊ว[1]
พระสมเด็จวัดระฆัง มีหลายพิมพ์ด้วยกัน แต่ที่นิยมได้แก่ พิมพ์พระประธาน พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์เจดีย์ พิมพ์ฐานแซม และพิมพ์ปรกโพธิ์
- พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์พระประธาน หรือ พิมพ์ใหญ่เป็นพิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาพิมพ์พระทั้ง 5 แม่พิมพ์ มีทั้งเนื้อละเอียด เนื้อหยาบ เนื้อแก่น้ำมันตังอิ๊ว หรือเนื้อสังขยา และเนื้อแก่ปูน ลักษณะพิมพ์ทรง เป็นรูปสมมติของพระพุทธเจ้านั่งในระฆังคว่ำ องค์พระแลดูนั่งเอียงไปทางขวา ปลายพระเกศสะบัดเอียงไปทางซ้าย ในบางองค์อาจทะลุซุ้มด้านบน แลเห็นหูพระด้านซ้ายเป็นแนวจางๆยาวลงมา ไหล่ซ้ายดูยกสูงกว่าไหล่ขวา มองเห็นปลายพระบาทยื่นเล็กน้อย ฐานขั้นล่างสุดเหมือนสี่เหลี่ยมคางหมู
- พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์เกศบัวตูม เป็นพระพิมพ์ของวัดระฆังที่พบจำนวนน้อยที่สุดในบรรดาพระพิมพ์ทั้งหมด ลักษณะพิมพ์ทรงเป็นพระนั่งในระฆังคว่ำ พระพักตร์กลมป้อม พระเกศเป็นมุ่นมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม (เป็นที่มาของชื่อพิมพ์) ต่างจากพิมพ์อื่น ตรงที่ปลายพระเกศไม่จรดเส้นซุ้ม องค์พระเป็นล่ำสัน มองเห็นเส้นสังคาฏิชัดเจน
- พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์เจดีย์ ลักษณะพิมพ์เป็นพระนั่งในระฆังคว่ำ แลเห็นตั้งแต่พระเกศจรดฐานชั้นล่างสุดเรียงเสมอเป็นแนวรูปทรงเจดีย์ ลักษณะลำตัวพระแลดูหนากว่าทุกพิมพ์
- พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซม ลักษณะพิมพ์เป็นพระนั่งในระฆังคว่ำ หูเป็นแบบบายศรี มีเส้นแซมระหว่างใต้องค์พระ กับ ฐานชั้นบนสุด และใต้ฐานชั้นบนสุด กับ ฐานชั้นกลาง
- พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ปรกโพธิ์ ลักษณะพิมพ์เป็นพระนั่งในระฆังคว่ำคล้ายพิมพ์ฐานแซม เหนือพระเกศและหัวไหล่ปรกคลุมด้วยใบโพธิ์
พระสมเด็จพิมพ์พิเศษอื่นๆ เช่น พิมพ์หลังภาษาจีน พิมพ์หลังยันต์ หรือหลังลายกนก เป็นต้น
ตรียัมปวาย[2] ได้จัดแบ่งประเภทของเนื้อพระสมเด็จในเบื้องต้นไว้ดังนี้
- เนื้อเกสรดอกไม้ จัดอยู่ในหมวดเนื้อหนึกนุ่ม ประกอบด้วยเนื้อที่มีอนุภาคมวลสารที่ละเอียดนุ่มนวล เปรียบได้กับมวลเกสรของบุปผชาตินานาพรรณ ซึ่งเนื้อเกสรดอกไม้นี้มีปรากฎเฉพาะในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เท่านั้น โดยมีความหนึกนุ่มอยู่ในระดับสูง และโดยทั่วไปจะปรากฎแป้งโรยพิมพ์ มีความฉ่ำและความซึ้งอยู่ในระดับปานกลาง มีน้ำหนักพอประมาณ ส่วนมากไม่ค่อยปรากฎทรายเงินและทรายทองและรักเก่าทองเก่า และโดยทั่วไปไม่ปรากฎการแตกลายงาและการแตกลายสังกะโลก นอกจากบางองค์จะมีลักษณะคล้ายๆ จะแตกลายทั้งสองชนิด แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นการแตกลายโดยแท้จริง นอกจากนี้ พระสมเด็จเนื้อเกสรดอกไม้จะไม่ปรากฎการปิดทองร่องชาด สีของเนื้อองค์พระที่ปรากฎ คือ สีงาช้าง (Ivory White)
- เนื้อกระแจะจันทน์ จัดอยู่ในหมวดเนื้อหนึกนุ่ม ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายคลึงกับเนื้อเกสรดอกไม้ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นเนื้อที่เตรียมจากแป้งกระแจะจันทน์ โดยเป็นเนื้อที่ค่อนข้างละเอียดซึ่งประกอบด้วยอิทธิวัสดุที่มีสีหม่นคล้ำผสมอยู่มาก ซึ่งเปรียบเทียบได้กับลักษณะของแป้งกระแจะจันทน์ซึ่งปรุงด้วยผงไม้หอมหลากหลายชนิด จึงมีวรรณะหม่นคล้ำกว่าแป้งธรรมดา และเช่นเดียวกันกับเนื้อเกสรดอกไม้ เนื้อกระแจะจันทน์เป็นเนื้อของวัดระฆังฯ เท่านั้น โดยมีความซึ้งและความหนึกนุ่มอยู่ในระดับสูงที่สุด มีความละเอียดของเนื้อเป็นรองเนื้อเกสรดอกไม้เพียงเล็กน้อย ส่วนมากปรากฎแป้งโรยพิมพ์ มีความแกร่งแฝง มีน้ำหนักมาก ปรากฎทรายเงินและทรายทองบางตา มีความฉ่ำไม่มาก ไม่ปรากฎการลงทองร่องชาด และการแตกลายสังกะโลก สีของเนื้อองค์พระที่ปรากฎ มีดังนี้คือ สีมะกอกสุก (Yellow Ochre) สีเมล็ดพิกุล (Raw Umber) สีพิกุลแห้ง (Burnt Siena White) สีขี้เถ้า (Neutral Grey Pale) และ สีก้านมะลิ (Emerald Green Pale)
- เนื้อปูนนุ่ม เป็นเนื้อที่จัดอยู่ในหมวดเนื้อผสม โดยมีมูลฐานลักษณะสลับอยู่ในระหว่างเนื้อเกสรดอกไม้และเนื้อกระแจะจันทน์ กล่าวคือ มีผิวเนื้อทั่วไปค่อนข้างเกลี้ยงเกลาคล้ายกับเนื้อเกสรดอกไม้และมีอนุภาคสีหม่นแทรกอยู่ประปรายคล้ายกับเนื้อกระแจะจันทน์ แต่มีความแกร่งภายในมากกว่าเนื้อทั้งสองประเภท จึงเรียกว่า "เนื้อปูนนุ่ม" ซึ่งมีปรากฎทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม เนื้อปูนนุ่มจัดอยู่ในเนื้อประเภทหนึกนุ่ม ซึ่งมีความละเอียดค่อนข้างมาก รวมถึงมีความฉ่ำและความซึ้งอยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยมีน้ำหนักปานกลาง มีผงทรายเงินและทรายทองอยู่ประปราย และมีรักเก่าทองเก่าปรากฎอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีแป้งโรยพิมพ์ปรากฎอยู่แต่ไม่มาก ส่วนการแตกลายงาและลายสังกะโลกนั้นจะปรากฎร่องเรขารักอ่อนๆ ไม่ชัดลึก สีของเนื้อองค์พระที่ปรากฎ มีดังนี้คือ สีลาน (์Naple Yellow) สีพิกุลแห้ง (Burnt Siena White) สีมะกอกสุก (Yellow Ochre) และ สีเมล็ดพิกุล (Raw Umber)
- เนื้อกระยาสารท คือเนื้อมวลสารของพระสมเด็จที่จัดอยู่ในหมวดเนื้อผสม แต่มิใช่ผสมด้วยกระยาสารทแต่ประการใด แต่เนื่องจากลักษณะอนุภาคของเนื้อมีสีหม่นคล้ำมากและมีหลากหลายสี มีทั้งที่เป็นเนื้อหยาบและละเอียดคละเคล้าปะปนกัน เปรียบเสมือนกระยาสารทซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมซึ่งมีหลากหลายชนิดและหลากหลายสีต่างๆ กัน จึงมีชื่อเรียกว่า "เนื้อกระยาสารท" ซึ่งเป็นเนื้อที่ปรากฎในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นส่วนใหญ่ และบางขุนพรหมเป็นส่วนน้อย เป็นเนื้อที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก และมีความซึ้งอยู่ในระดับสูง ซึ่งเกิดจากมวลสารหลายชนิดซึ่งมีสีต่างๆ กัน และมักจะมีแป้งโรยพิมพ์ปรากฎอยู่เสมอ โดยมีทั้งประเภทเนื้อหนึกนุ่มและหนึกแกร่ง มีรักเก่าทองเก่า การแตกลายงา และมีทรายเงินและทรายทองปรากฎอยู่หนาตากว่าเนื้อประเภทอื่น นอกจากนี้ถ้าเป็นเนื้อประเภทเนื้อนุ่มจะมีความละเอียดและความฉ่ำในระดับสูง และไม่ปรากฎการลงทองร่องชาดในเนื้อประเภทนี้ สีของเนื้อองค์พระที่ปรากฎ มีดังนี้คือ สีช๊อกโกแลตอ่อน (Neutral Violet White) และ สีพิกุลแห้ง (Burnt Siena White) โดยอาจมีสีปูนขาวสลับปะปนอยู่ในเนื้อพระบ้างเล็กน้อย
- เนื้อขนมตุ้บตั้บ จัดอยู่ในหมวดของเนื้อประเภทหนึกแกร่ง โดยมีความหมายของชื่อเนื้ออุปมาเช่นเดียวกันกับเนื้อกระยาสารท กล่าวคือ เป็นเนื้อที่กอปรด้วยมวลสารที่ค่อนข้างหยาบ หรือคลุกเคล้ากันในลักษณะที่หยาบ ไม่สมานเข้ากันสนิท ทำให้เห็นลักษณะของเนื้อที่มีวัสดุหลายอย่างอยู่รวมกันเป็นหย่อมๆ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับเนื้อของขนมตุ้บตั้บซึ่งมีความหยาบคละเคล้ากัน ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกว่า "เนื้อขนมตุ้บตั้บ" ซึ่งเป็นเนื้อที่ปรากฎในพระสมเด็จทั้งของวัดระฆังฯ และบางขุนพรหม เนื้อขนมตุ้บตั้บนี้เป็นเนื้อที่มีความแกร่งอยู่ในระดับสูงมาก มีความซึ้งที่เกิดจากเงาสว่าง ความราบเรียบของผิว และการเรียงตัวของอนุภาคอิทธิวัสดุซึ่งมีสีหม่น และสีสลับของเกล็ดลายงา นอกจากนี้ยังเป็นเนื้อที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก มีความหนึกแกร่ง และมีความฉ่ำซึ่งเกิดจากความซึ้งบนผิวพื้น เนื้อของพระประเภทนี้ถ้าลงรักน้ำดำจะเกิดการแตกลายงาอย่างมากและมีความงดงามอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดี เนื้อประเภทนี้ไม่ปรากฎแป้งโรยพิมพ์ และการลงทองร่องชาด สีของเนื้อองค์พระที่ปรากฎ มีดังนี้คือ สีดินอิบ (Ostwald Grey White) และสีขี้เถ้า (Neutral Grey Pale) ทั้งนี้หากเป็นพระที่ผ่านการลงรักเก่าและทองเก่ามาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นรักเก่าน้ำดำ ซึ่งจะทำให้เกิดสีสลับของร่องเรขารักระหว่างสีน้ำตาลเข้มและสีน้ำตาลอ่อน ก็จะทำให้เกิดผลลัพท์เป็นสีพิกุลแห้ง (Burnt Siena White) ซึ่งมีความงดงามอย่างยิ่ง
วิภัชวาที[3] ได้แบ่งยุคในการสร้างพระสมเด็จออกเป็น 4 ยุค คือ
- ยุคแรก (ยุคต้น) ยังไม่ใช่พิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟัก
- ยุคที่สอง (ยุคกลาง) เป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่แกะพิมพ์โดยช่างชาวบ้านหรือช่างสิบหมู่
- ยุคที่สาม (ยุคปลาย) เป็นพิมพ์สวยงามของหลวงวิจารณ์เจียรนัย มีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีกรอบบังคับพิมพ์ และซุ้มด้านซ้ายแตะกรอบขององค์พระบริเวณศอกด้านซ้ายขององค์พระ
- ยุคที่สี่ เป็นพิมพ์ยุคหลัง ไม่ทันการสร้างและปลุกเสกโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต
เนื่องจากพระสมเด็จถูกสร้างขึ้นในสมัยปลายรัชกาลที่ 4 ถึงตอนต้นรัชกาลที่ 5 ดังนั้นจึงมีอายุประมาณ 150 - 170 ปี โดยสามารถประเมินอายุขององค์พระซึ่งเป็นของดั้งเดิมได้จาก
- การศึกษาลักษณะพิมพ์ทรงและพุทธศิลป์
- การศึกษาลักษณะทางกายภาพและทางเคมีขององค์พระ ซึ่งได้แก่ การใช้กล้องจุลทรรศน์ขนาดกำลังขยายสูง การประเมินอายุพระสมเด็จโดยใช้เทคนิคการทำปฏิกริยากับสารละลายกรด การศึกษาโดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) และการศึกษาโดยใช้เทคนิค X-Ray Fluorescence Scan (XRF)
[1] ตรียัมปวาย, ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่ม ๑ พระสมเด็จฯ, กรุงเทพฯ : คลังวิทยาบูรพา, 2520.
[1] ตรียัมปวาย, ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่ม ๑ พระสมเด็จฯ, กรุงเทพฯ : คลังวิทยาบูรพา, 2520.
[2] วิภัชวาที, พระสมเด็จบางขุนพรหม (ที่หายไป), กรุงเทพฯ : ส.เอเชียเพลส, 2559.