คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ 4)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ 4)
Remove ads

ท้าววรจันทร บรมธรรมิกภักดี นารีวรคณานุรักษา หรือ เจ้าจอมมารดาวาด มีนามเดิมว่า แมว (11 มกราคม พ.ศ. 2384 – 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2483) มีสมญาการแสดงว่า แมวอิเหนา เป็นนางละครและพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระโอรสพระองค์หนึ่งคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ต้นราชสกุลโสณกุล

ข้อมูลเบื้องต้น คุณท้าววรจันทร (วาด) ท.จ.ว., เกิด ...
Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

ครอบครัวและชีวิตตอนต้น

ท้าววรจันทรมีนามเดิมว่า แมว เป็นบุตรของสมบุญ งามสมบัติ มหาดเล็กในรัชกาลที่ 3 กับท้าวปฏิบัติบิณฑทาน (ถ้วย)[1] ญาติได้นำเข้าไปถวายตัวในวังหลวงตั้งแต่วัยเด็ก โดยได้รับการเลี้ยงดูและฝึกละครจากเจ้าจอมนาค ในรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นป้า[2] ต่อมาเจ้าจอมนาคได้ถวายตัวท้าววรจันทรเข้าไปเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ในยามว่างก็ทรงให้ฝึกหัดละครและเป็นศิษย์ของเจ้าจอมมารดาแย้ม[3] ซึ่งเจ้าจอมมารดาแย้มท่านนี้เป็นผู้สั่งสอนและหัดละครแก่ท้าววรจันทรมาตั้งแต่ยังเยาว์[4] เคยรับบทเป็นอิเหนา พระเอกเรื่อง อิเหนา[5] ท้าววรจันทรได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รำสวย สามารถรำได้ทุกตัวบท ไม่ว่าจะเป็น นารายณ์ปราบนนทุก อิเหนา อรชุน พระราม อินทรชิต ท้าวดาหา และท้าวมาลีวราช เป็นต้น[6] ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสเรียกท่านว่า "แมวอิเหนา"[7]

บาทบริจาริกา

เมื่อถวายตัวรับราชการฝ่ายในตำแหน่งบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เปลี่ยนนามเป็น วาด ท้าววรจันทร์ประสูติพระโอรสพระองค์หนึ่งคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ต้นราชสกุลโสณกุล ณ อยุธยา ท่านได้เรียนภาษาอังกฤษกับแอนนา เลียวโนเวนส์ พร้อมกับพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอทั้งหลาย

ท้าววรจันทรปรากฏเรื่องราวในนิพนธ์ น้ำแข็ง ของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ความว่า กงสุลไทยในสิงคโปร์นำน้ำแข็งทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้น ก็ตรัสเรียกพระราชโอรส-ธิดาว่า "ลูกจ๋า ๆ ๆ" ทรงหยิบน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ จากขันทองใส่พระโอษฐ์เจ้านายเล็ก ๆ พระองค์ละก้อนแล้วตรัสว่า "กินน้ำแข็งเสีย" ก่อนจะตรัสสั่งให้โขลนตามเจ้าจอมมารดาวาดมาดูน้ำแข็ง โขลนจึงไปเรียนคุณจอมว่า "มีรับสั่งให้ท่านขึ้นไปดูน้ำแข็งเจ้าค่ะ" เจ้าจอมมารดาวาดจึงถาม "เอ็งว่าอะไรนะ" โขลนตอบ "น้ำแข็งเจ้าค่ะ" เจ้าจอมมารดาวาดจึงร้องว่า "เอ็งนี้ปั้นน้ำเป็นตัว" คำนี้จึงกลายเป็นภาษิตมาแต่นั้น[8] ในขณะที่ ความทรงจำ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า "อย่าปั้นน้ำเป็นตัว" เป็นสุภาษิตพระร่วง มีความหมายว่า "ห้ามทำอะไรฝืนธรรมชาติ" หรืออีกนัยหนึ่งว่า "แกล้งปลูกเท็จให้เป็นจริง" เป็นสุภาษิตมาแต่โบราณมิใช่เพิ่งเกิด[9]

ท้าววรจันทรและบั้นปลาย

ใน พ.ศ. 2429 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะอายุได้ 45 ปี เจ้าจอมมารดาวาดได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ท้าววรจันทร หลังท้าววรจันทรคนก่อน คือ มาไลย ทุพพลภาพลง นับว่าเป็นตำแหน่งชั้นสูงของข้าราชการฝ่ายใน บังคับบัญชาตัดสินว่าราชการภายในพระบรมมหาราชวัง ถือศักดินา 3,000 ไร่ ได้รับเครื่องยศ ได้แก่ หีบลงยาหนึ่งหีบ และโต๊ะเงินใหญ่สองโต๊ะ[10] หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยาได้กล่าวถึงท่านว่า[5]

"...กิตติศัพท์เขาเล่าลือว่าท่านดุมาก เด็กได้ยินก็คร้ามท่านมาก เขาว่าท่านจับคนใส่ตรวนได้ เด็กเลยกลัวตัวสั่น ท่านขึ้นเฝ้าได้บางเวลาเหมือนกัน ต้องยอมรับกันในพวกเด็กว่าท่านน่าเกรงขามจริง ท่าเดินของท่านแม้แก่แล้วก็ดูออกว่าถ้าท่านเป็นสาวคงจะสวย ถ้าวันไหนเด็กเห็นท่านผ่านห้องหม่อมเจ้า เด็กจะบอกกันว่าคุณท้าววรจันทร์มาแล้ว ห้องหม่อมเจ้าจะเงียบกริบหยุดเสียงจ้อกแจ้กทันที..."

กล่าวกันว่าท้าววรจันทรเป็นที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วฉับไว และเฉียบขาด หากมีผู้มาแนะนำความแก่ท้าววรจันทร แต่ท้าววรจันทรไม่เห็นดีด้วย ก็ไม่มีใครสามารถบังคับให้ท่านทำได้[10] เคยมีเจ้านายบางพระองค์กราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระองค์แสดงพระบรมราชวินิจฉัย พระองค์ทรงตอบกลับว่า "...เรื่องท้าววรจันทร ฉันขอเสียที รู้อยู่แล้วว่าไฟ ก็อย่าเอามือไปจี้ เขาไม่ได้เดินเหิรหรือขอเข้ามารับราชการ ฉันเอาเขาเข้ามาเอง..."[11]

กระทั่งเมื่อท้าววรจันทรมีอายุได้ 86 ปี จึงได้ออกไปพำนักอยู่ที่บ้าน แต่ยังคงฐานะประจำการในตำแหน่งท้าววรจันทรดังเดิมจนตลอดชีวิตของท่าน[10] ท้าววรจันทรถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 (แบบปัจจุบันคือ พ.ศ. 2483) สิริอายุ 99 ปี

Remove ads

ความสนใจ

กล่าวกันว่าท้าววรจันทรมีฝีมือในการปรุงอาหารเป็นเลิศ โดยครั้งหนึ่งท้าววรจันทรได้ถวายสำรับอาหารเป็นน้ำยาไก่และหมูหวานแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชวังดุสิต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในฝีมือของท้าววรจันทรมากโดยเฉพาะหมูหวาน ทรงตรัสยกย่องว่ามีรสชาติราวกับหมูหวานที่เคยเสวยมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และในเวลาต่อมาจึงโปรดเกล้าพระราชทานธูปและเทียนบูชาฝีมือท้าววรจันทร และทรงประกาศว่าหากใครผัดหมูหวานได้รสเช่นนี้ได้อีก ก็จะพระราชทานน้ำตาลจำนวนสามเท่าลูกฟักเป็นรางวัล[12]

นอกจากนี้ท้าววรจันทรยังมีความกตัญญูต่ออาจารย์ ด้วยอุปถัมภ์เจ้าจอมมารดาแย้มซึ่งเป็นครูละครให้ไปอยู่ด้วยกันที่วังปากคลองตลาดเพื่อดูแลอาจารย์ในปัจฉิมวัย หลังเจ้าจอมมารดาแย้มถึงแก่กรรม ท้าววรจันทรก็เป็นธุระจัดแจงพิธีปลงศพให้ และจัดการมอบมรดกมอบให้หลานของเจ้าจอมมารดาแย้มด้วย[13][14]

Remove ads

คดีความ

สรุป
มุมมอง

พ.ศ. 2449 ท้าววรจันทร์ลงโทษอำแดงเนย เพราะหลบหนีงาน โดยให้บ่าวในกำกับของตนจำนวนสามคน ได้แก่ อำแดงนก อำแดงพลอย และอำแดงผ่อง เฆี่ยนตีอำแดงเนยซึ่งกำลังตั้งครรภ์อาการสาหัสและตายทั้งกลมในเวลาต่อมา กรรมการศาลกระทรวงวังพิพากษา ให้จำคุกท้าววรจันทร์ อำแดงนก อำแดงพลอย และอำแดงผ่อง เป็นเวลาสองปี แต่ท้าววรจันทร์เป็นข้าราชการและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงให้งดโทษท้าววรจันทร์ แต่เปลี่ยนเป็นปรับละเมิดจตุรคูณตามบรรดาศักดิ์ท้าววรจันทร์ ศักดินา 3,000 ไร่ คิดเป็นเงิน 425 บาท 3 สลึง 500 เบี้ย ต่อมาท้าววรจันทร์ทำหนังสือถึงกระทรวงวัง ปฏิเสธความผิดทั้งหมดแต่ไม่ต้องการอุทธรณ์ เพียงแต่ต้องการให้ปล่อยตัวบ่าวสามคนในฐานะที่ทำตามคำสั่งของท่าน[15] ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ. 2443 หม่อมเจ้าประวาศสวัสดี โสณกุล หลานสาวของท้าวรจันทร์ ถูกอำแดงวง ซึ่งเป็นลูกจ้าง ยื่นฟ้องฐานหม่อมเจ้าประวาศสวัสดีเอาหนังแรดเฆี่ยนตี มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้าเป็นแต่ลูกจ้าง ซึ่งจะกดขี่เฆี่ยนตีเช่นนี้ไม่ถูก หม่อมเจ้าหญิงประวาศก็หาฟังไม่…ข้าพเจ้ายื่นฟ้องต่อศาลให้ปรับจำเลยเป็นเงิน 300 บาท 56 อัฐ ถานเฆี่ยนตีข้าพเจ้าโดยผิดกฎหมาย คือ ข้าพเจ้ามิได้เป็นทาษลูกหนี้ของจำเลย" สุดท้ายคดีถูกยกฟ้องตามพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ให้แล้วกันไป[16]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง

Loading content...
Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads