Remove ads
ภาวะทางการแพทย์ที่มีการอักเสบของตับและเกิดการทำลายของเซลล์ตับ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตับอักเสบ (อังกฤษ: Hepatitis) เป็นภาวะทางการแพทย์ที่มีการอักเสบของตับและเกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ ร่างกายอาจแสดงอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการเลยแต่มักจะนำไปสู่อาการดีซ่าน (อังกฤษ: jaundice) (การเปลี่ยนเป็นสีเหลืองของผิวหนัง, เยื่อบุผิวในช่องจมูกและปากที่สร้างน้ำเมือกหล่อลื่น และเยื่อตา) อาการเบื่ออาหาร และอาการไข้ พบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ในทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลันถ้าเป็นโรคนี้น้อยกว่าหกเดือน ส่วนน้อยอาจเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังถ้าเป็นโรคนี้นานกว่านั้น
ตับอักเสบ (Hepatitis) | |
---|---|
Alcoholic hepatitis as seen with a microscope, showing fatty changes (white circles), remnants of dead liver cells, and Mallory bodies (twisted-rope shaped inclusions within some liver cells). (H&E stain) | |
สาขาวิชา | Infectious disease, gastroenterology, hepatology |
อาการ | Yellowish skin, poor appetite, abdominal pain[1][2] |
ภาวะแทรกซ้อน | Scarring of the liver, liver failure, liver cancer[3] |
ระยะดำเนินโรค | Short term or long term[1] |
สาเหตุ | Viruses, alcohol, toxins, autoimmune[2][3] |
การป้องกัน | Vaccination (for viral hepatitis),[2] avoiding excessive alcohol |
การรักษา | Medication, liver transplant[1][4] |
ความชุก | > 500 million cases[3] |
การเสียชีวิต | > One million a year[3] |
ตับอักเสบเฉียบพลันสามารถจำกัดตนเองได้ (การรักษาของตัวเอง) สามารถพัฒนาไปสู่โรคตับอักเสบเรื้อรังหรืออาจทำให้เกิดตับวายเฉียบพลัน(แต่ค่อนข้างยาก)[5] โรคตับอักเสบเรื้อรังอาจไม่มีอาการหรืออาจจะพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไปเป็นพังผืด (รอยแผลเป็นของตับ) และโรคตับแข็ง (ตับวายเรื้อรัง)[6] โรคตับแข็งเพิ่มความเสี่ยงของการพัฒนาไปสู่โรค hepatocellular carcinoma (รูปแบบหนึ่งของโรคมะเร็งตับ)[7]
ทั่วโลกตับอักเสบที่มีเชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการอักเสบของตับ[8] สาเหตุอื่น ๆ ได้แก่ โรคแพ้ภูมิตัวเองและการบริโภคสารพิษ (แอลกอฮอล์), ยาบางชนิด (เช่นยาพาราเซตามอล), สารอินทรีย์ทำละลายสำหรับอุตสาหกรรมและพืชบางชนิด
คำว่า Hepatitis มาจากภาษากรีก hepar (ἧπαρ) หมายถึง "ตับ" และคำต่อท้าย -itis (-ῖτις) หมายถึง "อักเสบ" (ราวปี 1727)แปลว่า ตับอักเสบ[9]
ตับอักเสบที่เกิดจากไวรัสเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคตับอักเสบทั่วโลก[10] สาเหตุที่พบบ่อยอื่น ๆ ของโรคตับอักเสบที่ไม่ใช่ไวรัสได้แก่สาเหตุจากสารพิษและยา, แอลกอฮอล์, ภูมิต้านทาน ไขมันตับและความผิดปกติของระบบแทบอริซึม[11] สาเหตุที่พบน้อยกว่าได้แก่การติดเชื้อจากแบคทีเรีย, ปรสิต, เชื้อรา, เชื้อ mycobacteria และโปรโตซัวบางชนิด[12][13] นอกจากนี้ภาวะแทรกซ้อนบางอย่างของการตั้งครรภ์และการไหลเวียนของเลือดที่ไปที่ตับลดลงสามารถทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้[12][14] Cholestasis (การอุดตันการไหลของน้ำดี) เนื่องจากความผิดปกติของตับที่เรียกว่า hepatocellular dysfunction, การอุดตันทางเดินน้ำดีหรือน้ำดีตีบตันก็ทำให้เกิดความเสียหายที่ตับและทำให้ตับอักเสบ[15][16]
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของตับอักเสบเนื่องจากไวรัสคือไวรัสตับเขตร้อน (อังกฤษ: hepatotropic viruses) ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน 5 ตัวได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ A, ไวรัสตับอักเสบ B, ไวรัสตับอักเสบ C, ไวรัสตับอักเสบ D (ซึ่งจะต้องมีไวรัสตับอักเสบ B จึงจะก่อให้เกิดโรค) และไวรัสตับอักเสบ E
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ เกิดจาก การกินเชื้อเข้าไปทางปาก เช่น อาหาร ผักสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ ทำไม่สุก ไม่สะอาด ไม่ต้มเดือด เป็นต้น
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ ประมาณ 2- 6 สัปดาห์ โดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์หลังรับเชื้อ ในเด็กมักมีอาการน้อย ในผู้ใหญ่มีอาการที่ชัดเจนของตับอักเสบเฉียบพลันเชื้อนี้ออกมากับอุจจาระของผู้ป่วยตั้งแต่ในระยะ 2 สัปดาห์ก่อนมีอาการจนถึงระยะที่มีอาการของโรค เชื้อไวรัสนี้คงทรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน บางครั้งจึงพบมีการระบาด ในชุมชน กลุ่มคนที่อยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน หอพัก ค่ายทหาร เป็นต้น
คนเป็นพาหะ (อังกฤษ: Carrier) ที่สำคัญของเชื้อไวรัสนี้พบเชื้อนี้ในประชากรโลกกว่า 200 ล้านคน ประเทศไทยมีความชุกคนของพาหะร้อยละ 8 - 10 คือ ประมาณ 5 ล้านคนที่มีเชื้อไวรัสนี้[ต้องการอ้างอิง]ในร่างกาย พบเชื้อได้ในเลือด น้ำเหลือง สิ่งคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำลาย น้ำตา น้ำนม เป็นต้น ทำให้มีโอกาสแพร่ เชื้อได้หลายทาง ทางเข้าของเชื้อ ได้แก่
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ 30 - 180 วัน เฉลี่ย 60 - 90 วัน ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสนี้จะหายเป็นปกติ ที่เหลือเป็นพาหะของเชื้อต่อไป พาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบนี้ อาจไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อต่อไป ส่วนหนึ่งอาจป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้มีโอกาสเสี่ยงของมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่า
ไวรัสตับอักเสบ B เป็นไวรัสตับอักเสบที่พบมากที่สุดทั่วโลก ส่งผลกระทบมากถึง 10% ของประชากรผู้ใหญ่ในพื้นที่ถิ่น[17] และก่อให้เกิดการเสียชีวิตประมาณ 780,000 คนต่อปีทั่วโลก ส่วนใหญ่มันมักจะติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการคลอดหรือโดยการสัมผัสกับเลือดที่ติดเชื้อหรือผลิตภัณฑ์ของเลือด โรคตับอักเสบ B ยังสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับเยื่อเมือกแต่โอกาศเกิดขึ้นมีน้อยกว่า การฉีดวัคซีนเป็นประจำจะได้รับอย่างสม่ำเสมอในประเทศที่พัฒนาแล้ว[18]
ในประเทศสหรัฐอเมริกา, ไวรัสตับอักเสบ C ได้กลายเป็นไวรัสตับอักเสบที่พบบ่อยมากที่สุดนับตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายของไวรัสตับอักเสบ B ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 มันมีผลต่อผู้ใหญ่ประมาณ 3,200,000 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณ 60-70% ของผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ตระหนักถึงการติดเชื้อของพวกเขา แม้หลังจากหลายทศวรรษที่ผ่านมาโดยปราศจากอาการ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C ยังคงเป็นแหล่งของการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นและพวกเขายังมีความเสี่ยงสูงในการพัฒนาไปสู่โรคตับอักเสบเรื้อรังและ / หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบ C เรื้อรัง[19]
ไวรัสตับอักเสบ ชนิดซี เป็นไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสตับอักเสบ บี พบเชื้อนี้ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นที่มีเชื้อไวรัส บี ทางติดต่อเช่นเดียวกับ ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบชนิด ซี เป็นสาเหตุที่สำคัญของ ตับอักเสบที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับเลือด/ผลิตภัณฑ์เลือด เดิมเรียกว่า ไวรัสตับอักเสบ ชนิด ไม่ใช่เอ ไม่ใช่บี
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด ดี พบในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 1 ติดต่อได้โดยทางเลือดและน้ำเหลือง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดนอกจากนี้ อาจติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ ประมาณ 15 - 160 วัน เฉลี่ย 50 วัน ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เชื่อว่าเชื้อ ไวรัสนี้ยังทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิด บี
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบและความเสียหายของตับ (ตับแข็ง) ตับอักเสบอันเนื่องจากแอลกอฮอล์มักจะพัฒนาตลอดช่วงหลายปีที่มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในส่วนที่เกินจาก 80 กรัมของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อวันในผู้ชายและ 40 กรัมต่อวันในผู้หญิงมีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคตับอักเสบเนื่องจากแอลกอฮอล์ ตับอักเสบเนื่องจากแอลกอฮอล์จะผันแปรตั้งแต่โรคระดับอ่อนที่ไม่มีอาการจนถึงตับอักเสบรุนแรงและตับวาย อาการและผลการตรวจร่างกายมีความคล้ายคลึงกับสาเหตุอื่น ๆ ของโรคตับอักเสบ ผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการมีความสำคัญสำหรับ elevated transaminases มักจะมีระดับสูงของ aspartate transaminase (AST) ในอัตราส่วน 2:1 กับ alanine transaminase (ALT)[20][21]
ตับอักเสบเนื่องจากแอลกอฮอล์อาจนำไปสู่โรคตับแข็งและพบมากในผู้ป่วยที่มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานานและพวกที่มีการติดเชื้อจากไวรัสตับอักเสบชนิด C[22] นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปยังมักจะพบว่าเป็นโรคตับอักเสบมากกว่าคนอื่น ๆ ที่พบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี[23] การรวมกันของไวรัสตับอักเสบซีและการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการเร่งการพัฒนาไปสู่โรคตับแข็ง[24]
ยาและสารเคมีอื่น ๆ จำนวนมากสามารถทำให้ตับอักเสบได้ ในสหรัฐ สาร acetaminophen, ยาปฏิชีวนะ, และยาระบบประสาทส่วนกลางอยู่ในกลุ่มที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของตับอักเสบที่เกิดจากยา สาร acetaminophen หรือที่รู้จักกันในชื่อพาราเซตามอล เป็นสาเหตุนำของตับล้มเหลวเฉียบพลันในสหรัฐอเมริกา[25] สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยังอาจทำให้ตับอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของตับอักเสบที่เกิดจากยาในประเทศเกาหลี[26] ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคตับอักเสบที่เกิดจากยาได้แก่อายุที่มากขึ้น, เพศหญิง, และโรคตับอักเสบที่เกิดจากยาก่อนหน้านี้ ความแปรปรวนทางพันธุกรรมเป็นที่เข้าใจกันมากขึ้นว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่สำคัญสำหรับโรคตับอักเสบที่เกิดจากยา[27][28]
สารพิษและการรักษาทางการแพทย์ด้วยยาอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ตับโดยผ่านความหลากหลายของกลไก รวมทั้งความเสียหายโดยตรงของเซลล์ การส่งกระทบต่อเมแทบอลิซึมของเซลล์และการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของเซลล์[29] ยาบางชนิดเช่น acetaminophen ทำให้เกิดความเสียหายของตับที่เกี่ยวข้องปริมาณที่คาดการณ์ได้ ขณะที่ยาอื่น ๆ ทำให้เกิดปฏิกิริยาแปลก ๆ แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล[28]
การสัมผัสกับสารพิษที่มีผลโดยตรงกับตับ (อังกฤษ: hepatotoxins) อื่น ๆ อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือจงใจโดยการบริโภค, การสูดดมและการซึมผ่านผิวหนัง การสัมผัสโดยอาชีพอาจเกิดขึ้นขณะทำงานในสนามจำนวนมากและสามารถออกฤทธิ์อย่างรุนแรงหรือร้ายกาจ[30] เห็ดที่เป็นพิษเป็นการสัมผัสสารพิษทั่วไปที่อาจส่งผลให้เกิดโรคตับอักเสบ[31]
ตับอักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่ทำกับเซลล์ตับ[32] โรคนี้คาดว่าเป็นความบกพร่องทางพันธุกรรมเนื่องจากมันมีความเกี่ยวข้องกับแอนติเจนบางอย่างของเม็ดเลือดขาวของมนุษย์[33] อาการของโรคตับอักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันมีความคล้ายคลึงกับโรคเกี่ยวกับตับอื่น ๆ และอาจจะมีทิศทางของอาการผันผวนจากอ่อนไปรุนแรงมาก ผู้หญิงที่เป็นโรคนี้อาจมีประจำเดือนผิดปกติหรืออาจเป็นโรคไร้ประจำเดือนไปเลย โรคนี้เกิดขึ้นในคนทุกเพศทุกวัย แต่มากที่สุดในหญิงวัยสาว คนที่เป็นโรคตับอักเสบเนื่องจากภูมิต้านทานอาจเป็นโรคที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานอื่น ๆ[34]
โรคตับที่มีไขมันสูงแต่ไม่มีแอลกอฮอล์ (อังกฤษ: Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD)) เกิดกับผู้ที่มีไขมันในตับสูงแต่มีประวัติการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อยหรือไม่มีเลย ในช่วงเริ่มต้นมักจะไม่มีอาการของโรค ขณะที่โรคก้าวหน้าขึ้น อาการทั่วไปของโรคตับอักเสบอาจพัฒนาเป้นแบบเรื้อรัง[35] NAFLD มีความสัมพันธ์กับภาวะ metabolic syndrome, โรคอ้วน, โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง[36] NAFLD ที่รุนแรงอาจนำไปสู่การอักเสบ, พังผืด และโรคตับแข็ง โดยอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า non-alcoholic steatohepatitis (NASH) การวินิจฉัยต้องไม่รวมสาเหตุอื่น ๆ ของโรคตับอักเสบเช่นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป[37] ในขณะที่การถ่ายภาพทางการแพทย์สามารถแสดงให้เห็นถึงไขมันสะสมจำนวนมากในตับ การตรวจชิ้นเนื้อตับเท่านั้นที่สามารถแสดงให้เห็นถึงลักษณะของการอักเสบและการเกิดพังผืดของ NASH[38] NASH ได้รับการยอมรับว่าเป็นสาเหตุที่สามที่พบบ่อยที่สุดของโรคตับในประเทศสหรัฐอเมริกา[35]
เซลล์ตับเสียหายเนื่องจากเลือดหรือออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอเป็นผลให้ตับอักเสบ (หรือตับช็อค)[39] สภาพส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจล้มเหลว แต่ยังสามารถเกิดจากการช็อคหรือการติดเชื้อ การทดสอบเลือดของคนที่มีตับอักเสบเพราะขาดเลือดจะแสดงระดับที่สูงมากของเอนไซม์ transaminase (AST และ ALT) สภาพมักจะแก้ไขได้ถ้าสาเหตุพื้นฐานได้รับการปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ ตับอักเสบเพราะขาดเลือดไม่ค่อยทำให้ตับเสียหายอย่างถาวร[40]
ตับอักเสบเนื่องจากเซลล์ขนาดยักษ์ (อังกฤษ: Giant cell hepatitis) เป็นรูปแบบที่หายากของโรคตับอักเสบที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทารกแรกเกิดและเด็ก การวินิจฉัยทำบนพื้นฐานของการปรากฏตัวของเซลล์ตับยักษ์หลายนิวเคลียสจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ[41] สาเหตุของตับอักเสบเนื่องจากเซลล์ขนาดยักษ์ไม่เป็นที่รู้จัก แต่สภาพที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส, โรคแพ้ภูมิตัวเองและความเป็นพิษของยา[42][43]
การวินิจฉัยจะทำโดยการประเมินอาการของแต่ละอาการและการทดสอบทางกายภาพอีกทั้งประวัติทางการแพทย์ ร่วมกับการตรวจเลือด, การตรวจชิ้นเนื้อตับและการถ่ายภาพทางการแพทย์ การทดสอบเลือดจะรวมถึงการทดสอบหาสารเคมีในเลือด, การทดสอบเอนไซม์ในตับการทดสอบด้วยเซรุ่มวิทยาและการทดสอบกรดนิวคลีอิก ความผิดปกติของสารเคมีในเลือดและผลของเอนไซม์อาจจะบ่งบอกถึงสาเหตุบางอย่างหรือระยะที่ชัดเจนของโรคตับอักเสบ[44][45] การถ่ายภาพก็สามารถระบุการสลายตัวของไขมัน (อังกฤษ: steatosis) ของตับ แต่การสร้างพังผืดมากเกินไปและโรคตับแข็งจะต้องใช้วิธีการตรวจชิ้นเนื้อตับ[38] การตรวจชิ้นเนื้อไม่จำเป็นถ้าข้อมูลทางคลินิก, จากห้องปฏิบัติการและทางรังสีได้แสดงให้เห็นโรคตับแข็ง นอกจากนี้การตรวจชิ้นเนื้อตับยังมีความเสี่ยงขนาดเล็กแต่สำคัญเพราะตัวโรคตับแข็งเองสามารถสร้างแรงโน้มเอียงให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้[46]
การทดสอบทางเคมีของตับ | อาการทางคลินิกของความผิดปกติ |
---|---|
Alanine transaminase (ALT) | เซลล์ตับเสียหาย (อังกฤษ: Hepatocellular damage) |
Aspartate transaminase (AST) | เซลล์ตับเสียหาย |
Bilirubin | ดีซ่านจากทางเดินน้ำดีอุดตัน (อังกฤษ: Cholestasis) |
Alkaline phosphatase | ดีซ่านจากทางเดินน้ำดีอุดตัน |
Prothrombin time | การทำงานสังเคราะห์ของตับบกพร่อง (อังกฤษ: Impaired Liver synthetic function) |
Albumin (ALB) | การทำงานสังเคราะห์ของตับบกพร่อง |
Gamma-glutamyl transpeptidase (GGT) | ดีซ่านจากทางเดินน้ำดีอุดตัน |
Bile acids | ดีซ่านจากทางเดินน้ำดีอุดตัน |
Lactate dehydrogenase | เซลล์ตับเสียหาย |
ตับอักเสบเนื่องจากไวรัสมีการวินิจฉัยส่วนใหญ่ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการทางคลินิก บางส่วนของการทดสอบเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับไวรัสหรือชิ้นส่วนของไวรัส เช่นทดสอบหาแอนติเจนพื้นผิวของไวรัสตับอักเสบชนิด B (อังกฤษ: Hepatitis B surface antigen (HBsAg)) หรือการทดสอบกรดนิวคลีอิก[47][48] หลายครั้งของการทดสอบเหล่านี้เป็นการทดสอบทางเซรุ่มวิทยาที่ตอบสนองกับภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สำหรับบางสาเหตุหลักของโรคตับอักเสบเนื่องจากไวรัส เช่นตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี มีการทดสอบทางเซรุ่มวิทยาหลายอย่างเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการวินิจฉัย[49]
มีหลายโรคที่สามารถแสดงอาการและ/หรือมีผลการทดสอบการทำงานของตับผิดปกติที่คล้ายกับโรคตับอักเสบ ในกรณีที่รุนแรงของการขาดอัลฟา 1 antitrypsin (A1AD) โปรตีนส่วนเกินในเซลล์ตับจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและตับแข็ง[50] ความผิดปกติของเมแทบอริซึมบางอย่างทำให้เกิดความเสียหายต่อตับผ่านกลไกที่หลากหลาย ในโรคเหล็กสะสมในเนื้อเยื่อ (อังกฤษ: hemochromatosis) และโรควิลสัน การสะสมของสารพิษในอาหารส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับและตับแข็ง[51]
ตับก็เหมือนอวัยวะทั้งหลายที่ตอบสนองต่อการบาดเจ็บในปริมาณที่จำกัดและหลายรูปแบบได้รับการระบุ การตรวจชิ้นเนื้อตับจะไม่ค่อยมีการดำเนินการสำหรับตับที่อักเสบอย่างเฉียบพลันและด้วยเหตุนี้เนื้อเยื่อของตับอักเสบเรื้อรังจึงเป็นที่รู้จักกันดีมากกว่าว่าตับอักเสบแบบเฉียบพลัน
ในกรณีของตับอักเสบแบบเฉียบพลัน รอยแผล (บริเวณของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ) จะมีการแทรกซึมอย่างเด่นชัดเข้าไปของโมโนนิวเคลียร์ที่กระจายตัวแบบซายน์และแบบพอร์ทัล (อังกฤษ: diffuse sinusoidal and portal mononuclear infiltrates) (เซลล์เม็ดเลือดขาว, เซลล์พลาสมา, เซลล์ Kupffer) และเซลล์ตับที่บวม มีเซลล์แบบ eosinophilic (Councilman bodies) จะเห็นได้อยู่ทั่วไป การฟื้นฟูเนื้อตับและดีซ่านจากทางเดินน้ำดีอุดตัน (อังกฤษ: cholestasis) (ปลั๊กน้ำดีแบบ canalicular) โดยปกติจะปรากฏขึ้น นอกจากนี้การตายเฉพาะส่วนของเนื้อตับ (อังกฤษ: necrosis) ที่เชื่อมถึงกัน (บริเวณของเนื้อร้ายที่เชื่อมต่อกัน) ยังอาจเกิดขึ้นอีกด้วย อาจจะมีวางตัวของพูตับที่ไม่เรียบร้อย แม้ว่าอาจมีการรวมตัวกันของเซลล์เม็ดเลือดขาวในโซนพอร์ทัล การรวมตัวเหล่านี้มักจะไม่ปกติและไม่มีความโดดเด่น โครงสร้างปกติจะถูกเก็บรักษาไว้ ไม่มีร่องรอยของพังผืดหรือโรคตับแข็ง (พังผืดบวกเนื้องอกที่เกิดใหม่) ในกรณีที่รุนแรง อาจจะเห็นเนื้อร้ายตับที่โดดเด่นรอบหลอดเลือดดำส่วนกลาง (โซน 3)
ในเนื้อร้ายที่เป็นกลุ่มก้อนขนาดเล็ก (อังกฤษ: submassive necrosis) (ซึ่งจะไม่ค่อยพบสำหรับโรคตับอักเสบแบบเฉียบพลัน) เนื้อร้ายตับจะกระจายตัวอย่างกว้างขวาง เริ่มต้นในโซนกลางและคืบหน้าไปสู่บริเวณพอร์ทัล ระดับของการอักเสบในเนื้อตับ (อังกฤษ: parenchymal inflammation) ไม่คงที่และเป็นสัดส่วนกับระยะเวลาของการเกิดโรค[52][53] เนื้อร้ายสองรูปแบบที่แตกต่างกันจะสามารถมองเห็นได้.. (1) เนื้อร้ายเป็นวงแบบ Coagulative หรือ (2) เนื้อร้ายแบบ panlobular (ไม่เป็นวง)[54] จะพบเซลล์ macrophagesและเซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมาก เนื้อร้ายและการอักเสบของทางเดินน้ำดีต้นไม้จะเกิดขึ้น[55] อาจจะพบ Hyperplasia ของเซลล์ทางเดินน้ำดีที่รอดชีวิต การตกเลือดแบบ stromal เป็นเรื่องธรรมดา
วิทยาเนื้อเยื่อ (อังกฤษ: histology) อาจแสดงความสัมพันธ์บางอย่างของสาเหตุของโรค
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการกู้คืนจากสภาพนี้ การตรวจชิ้นเนื้อโดยทั่วไปจะแสดงก้อนเนื้อที่ถูกฟื้นฟูแบบกระเปาะ (อังกฤษ: multiacinar regenerative nodules) (ที่รู้จักกันก่อนหน้านี้ว่าเป็น adenomatous hyperplasia)[56]
นอกจากนี้เนื้อร้ายที่ตับขนาดใหญ่ก็เป็นที่รู้จักและมักจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ในทางพยาธิวิทยามองว่าคล้ายเนื้อร้ายแบบ submassive แต่มองเห็นได้ชัดกว่าทั้งในขนาดและขอบเขต
ไวรัสตับอักเสบเรื้อรังมีการศึกษาที่ดีกว่าและหลายเงื่อนไขได้รับการอธิบาย
โรคตับอักเสบเรื้อรังที่มีเนื้อร้ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย (periportal) (หรือตับอักเสบอินเตอร์เฟซ) แบบมีหรือไม่มีพังผืด[57] (ก่อนหน้านี้เป็นตับอักเสบเรื้อรังที่ยังมีอาการอยู่) เป็นกรณีของโรคตับอักเสบที่เกิดขึ้นมานานกว่า 6 เดือนด้วยการอักเสบที่พอร์ทัล, เกิดพังผืด, เกิดการหยุดชะงักของแผ่นขั้ว และเกิดเนื้อร้ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โรคตับอักเสบเรื้อรังที่ไม่มีเนื้อร้ายชิ้นเล็กชิ้นน้อย (เดิมเรียกว่าโรคตับอักเสบเรื้อรังถาวร) จะไม่มีเนื้อร้ายที่ periportal อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่มีการฟื้นฟูด้วยการแทรกซึมแบบโมโนนิวเคลียร์พอร์ทัลที่ค่อนข้างหนาแน่น Councilman bodies จะถูกพบบ่อยภายในพูตับ โดยมันจะมีเนื้อร้ายแบบ parenchymal focal hepatocyte ที่ถาวร (apoptosis) ที่มีการแทรกตัวเข้าไปของโมโนนิวเคลียร์แบบซายน์
ชื่อเดิมได้รับการคัดค้านเพราะมีความเข้าใจในขณะนี้แล้วว่าสภาวะต่างๆสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาจนสิ่งที่อาจจะเคยคิดว่าแผลที่ค่อนข้างเล็กน้อยนั้นมันยังสามารถพัฒนาไปสู่โรคตับแข็งได้ ชื่อง่ายๆอย่าง "โรคตับอักเสบเรื้อรัง" ได้รับการยอมรับในขณะนี้พร้อมกับตัวสาเหตุ (เมื่อรู้) และระดับ (อังกฤษ: grade) ของมันจะขึ้นอยู่กับระดับ (อังกฤษ: degree) ของการอักเสบ, เนื้อตายแบบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือเชื่อมเข้าด้วยกัน (ตับอักเสบอินเตอร์เฟซ) และระยะของพังผืด ระบบการให้เกรดหลายอย่างถูกนำเสนอ แต่ยังไม่ได้รับการรับรองในระดับสากล
โรคตับแข็งเป็นกระบวนการกระจายของก้อนเนื้อเกิดใหม่ที่แยกออกจากกันโดยแถบของพังผืด มันเป็นระยะสุดท้ายสำหรับโรคตับเรื้อรังทั้งมวล กระบวนการทางพยาธิวิทยาฟิสิกซ์ (อังกฤษ: pathophysiological process) ที่จะแสดงผลว่าเป็นโรคตับแข็งเป็นดังนี้: เซลล์ตับจะค่อยๆหายไปเนื่องจากการบาดเจ็บและการอักเสบของตับ อาการบาดเจ็บนี้จะช่วยกระตุ้นการตอบสนองให้มีการฟื้นฟูในเซลล์ตับที่เหลือ รอยแผลเป็นจากการเกิดพังผืดจะจำกัดขอบเขตการก่อตัวใหม่ให้เป็นโครงสร้างปกติเนื่องจากแผลเป็นจะแยกกลุ่มของเซลล์ตับออกจากัน ซึ่งจะส่งผลในการก่อตัวของเนื้องอก. Angiogenisis (การก่อตัวของเส้นเลือดใหม่) มาพร้อมกับการสร้างแผลเป็นซึ่งเป็นผลมาจากการก่อตัวของช่องที่ผิดปกติระหว่างเส้นเลือดตับกลางและเส้นเลือดพอร์ทัล สิ่งนี้จะบายพาสเลือดรอบเนื้อเยื่อที่กำลังฟื้นฟู โครงสร้างของหลอดเลือดปกติรวมทั้งช่องทางแบบซายน์อาจจะหายไปโดยเนื้อเยื่อพังผืดที่ทำให้เกิดความดันสูงที่พอร์ทัล การลดลงของเนื้อตับโดยรวมบวกกับการบายพาสเลือดที่พอร์ทัลจะป้องกันตับไม่ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ ได้แก่การกรองเลือดจากระบบทางเดินอาหารและการผลิตโปรตีนในซีรั่ม. การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก่อให้เกิดอาการทางคลินิกของโรคตับแข็ง
สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคตับอักเสบไม่สามารถแยกความแตกต่างบนพื้นฐานของพยาธิวิทยา แต่บางสาเหตุจะมีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถชี้ชัดได้ด้วยการวินิจฉัยโรคเป็นการเฉพาะ การปรากฏตัวของโรคตับแข็งแบบเนื้องอกขนาดเล็ก (อังกฤษ: micronodular cirrhosis), Mallory bodies และการเปลี่ยนแปลงของไขมันในการตรวจชิ้นเนื้อชิ้นเดียวสามารถบอกได้เป็นอย่างชัดเจนถึงการบาดเจ็บจากแอลกอฮอล์[58] พังผืดแบบ perivenular และ pericellular (ที่เรียกว่า 'พังผืดเส้นลวดไก่' เนื่องจากมันปรากฏบน trichrome หรือคราบของ Van Gieson) ที่มีการทำลายบางส่วนหรือทั้งหมดของหลอดเลือดดำส่วนกลางก็บ่งบอกถึงพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การที่หัวใจขาดเลือดหรือการอุดตันของหลอดเลือดดำสามารถทำให้เกิดรูปแบบของสาเหตุที่คล้ายกัน[59] รูปแบบไซน์มักจะขยายตัวและมักจะเต็มไปด้วยเม็ดเลือดแดง แผ่นเซลล์ตับอาจถูกบีบอัด เนื้อร้ายแบบ Coagulative ของเซลล์ตับสามารถเกิดขึ้นรอบหลอดเลือดดำส่วนกลาง อาจจะพบมาโครเฟจที่กินเม็ดสีฮีโมซิเดอรินและไลโปโครมและเซลล์อักเสบ อาจจะพบ cholestasis ที่ขอบของโซนพังผืด บริเวณพอร์ทัลจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญจนกระทั่งช่วงปลายของโรค
โรคทางเดินของน้ำดีรวมทั้งโรคตับแข็งน้ำดีหลัก, โรคท่อน้ำดีอักเสบ (อังกฤษ: sclerosing cholangitis), การเปลี่ยนแปลงการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคลำไส้อักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุและการอุดตันของท่อจะมีเนื้อเยื่อที่คล้ายกันในระยะแรกของโรค แม้ว่าโรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องในระยะแรกกับทางเดินน้ำดี พวกมันยังอาจจะเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังภายในตับและยากที่จะแยกแยะความแตกต่างบนพื้นฐานของเนื้อเยื่อวิทยาแต่เพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงของพังผืดที่เกี่ยวข้องกับโรคเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับบริเวณพอร์ทัลที่มีการแพร่กระจายของท่อน้ำดีอักเสบ, การอักเสบของทางเดินพอร์ทัลที่มีนิวโทรฟิลรอบๆท่อน้ำดีอักเสบ, การหยุดชะงักของแผ่นขั้วโดยเซลล์อักเสบโมโนนิวเคลียร์และเนื้อร้ายตับเป็นครั้งคราว หลอดเลือดดำส่วนกลางไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างพังผืดหรือกลายเป็นส่วนร่วมในตอนปลายของการเกิดโรคเท่านั้น ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับพอร์ทัลจะบิดเบี้ยวน้อยที่สุด ในกรณีที่โรคตับแข็งปรากฏ ก็จะมีแนวโน้มที่จะอยู่ในรูปแบบของโรคพังผืดเชื่อมต่อระหว่างพอร์ทัลกับพอร์ทัล
โรคตับอักเสบเนื่องจากไวรัสชนิดอีทำให้เกิดรูปแบบด้านเนื้อเยื่อวิทยาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่บนพื้นหลังของโฮสต์[60] ในผู้ป่วยตับอักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกัน รูปแบบทั่วไปคือเนื้อร้าย intralobular รุนแรงและทางเดินน้ำดีอักเสบเฉียบพลันในระบบทางเดินพอร์ทัลที่มีนิวโทรฟิลจำนวนมาก นี้ตามปกติแก้ไขได้โดยไม่มีผลตามมา โรคจะรุนแรงมากกว่าในผู้ที่เป็นโรคตับมาก่อนเช่นโรคตับแข็ง ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อเรื้อรังอาจส่งผลให้มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วไปสู่โรคตับแข็ง เนื้อเยื่อวิทยาจะคล้ายกับที่พบในไวรัสตับอักเสบชนิดซีที่มีการแทรกซึมลิมโฟไซท์แทรกแซงอยู่ในบริเวณไอซ์เลทพอร์ทัลที่หนาแน่น มีเนื้อร้ายชิ้นเล็กชิ้นน้อยและพังผืดอย่างต่อเนื่อง
ผลของโรคตับอักเสบขึ้นอยู่อย่างมากกับโรคหรือเงื่อนไขที่เป็นสาเหตุของอาการ สำหรับสาเหตุบางอย่าง เช่นการติดเชื้อจากไวรัสตับอักเสบชนิด A ที่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยอาจจะไม่ประสพกับอาการใด ๆ และจะฟื้นตัวได้เองโดยไม่มีผลกระทบระยะยาว สำหรับสาเหตุอื่น ๆ โรคตับอักเสบอาจทำให้เกิดความเสียหายไม่สามารถแก้ไขได้กับตับและต้องทำการปลูกถ่ายตับ เซตย่อยที่อ้างถึงในการจำแนกปี 1993 เป็น "เฉียบพลันอย่างหนัก" (อังกฤษ: hyperacute) ความล้มเหลวตับสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์[61]
ตับสามารถฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย[62] ความเสียหายเรื้อรังต่อตับสามารถทำให้เกิดการก่อตัวของเนื้อเยื่อแผลเป็นที่เรียกว่าพังผืดและอาจส่งผลให้เกิดเนื้องอกที่ป้องกันไม่ให้ตับทำงานได้อย่างถูกต้อง สภาพนี้เรียกว่าโรคตับแข็งและไม่สามารถย้อนกลับได้[63] โรคตับแข็งอาจบ่งบอกถึงว่าการปลูกถ่ายตับเป็นสิ่งที่จำเป็น ภาวะแทรกซ้อนของโรคตับอักเสบเรื้อรังก็คือมะเร็งตับมะเร็งตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง hepatocellular carcinoma[64]
ในเดือนมีนาคมปี 2015 องค์การอนามัยโลกออกแนวทางเป็นครั้งแรกสำหรับการรักษาโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิด บี เงื่อนไขนี้มีผลกระทบต่อประมาณ 240 ล้านคนทั่วโลก แนวทางเหล่านี้สำหรับป้องกัน ดูแลและรักษาบุคคลที่ต้องมีชีวิตอยู่กับโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี
ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การพักผ่อนเต็มที่ในระยะต้นจะทำให้อ่อนเพลียลดลง งดการออกแรงออกกำลังกาย การทำงาน งดการดื่มสุรา รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย น้ำหวาน น้ำผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงในระยะที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาก ในรายที่อาการมากอาจให้สารน้ำเข้า เส้นเลือดดำ ให้ยาแก้คลื่นไส้ ยาวิตามิน ฯลฯ
วัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอและบีได้ 99-100% ของบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสที่หมดฤทธิ์แล้วสองโดสมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งปี[65] วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้มีให้ใช้ได้มาตั้งแต่ปี 1986 และได้รับการรวมกลุ่มเข้ากับโปรแกรมการฉีดวัคซีนแห่งชาติสำหรับเด็กอย่างน้อย 177 โปรแกรม ภูมิคุ้มกันสามารถป้องกันได้มากกว่า 95% ของเด็กและเยาวชนที่ได้รับวัคซีนไวรัสผสมปริมาณสามโดส การฉีดวัคซีนภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเกิดสามารถป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อได้ ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีมีภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนลดลง องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่เด็กทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกแรกเกิดในประเทศที่มีไวรัสตับอักเสบบีระบาดเพื่อที่จะป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่ไปสู่ลูก[66]
Anti HAV IgM (Antibody Hepatitis A Virus Immunoglobulin M)เป็นภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นในระยะแรกของการติดเชื้อ ถ้ามีผลตรวจเป็น บวก(ยืนยัน) แสดงว่าร่างกายติดเชื้อโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์
HBs Ag (Hepatitis B surface antigen) หมายถึง สารประกอบของเชื้อโรค (อังกฤษ: antigen) ที่พบบนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถ้ามีผลตรวจเป็น ลบ(ปฏิเสธ) แสดงว่าไม่พบเชื้อโรคนี้ ถ้ามีผลตรวจเป็น บวก(ยืนยัน) แสดงว่าพบเชื้อโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์
Anti-HBs (Anti-Hepatitis B surface) และ Anti-HBc (Anti-Hepatitis B core) เป็นแอนติบอดี (ภูมิคุ้มกัน) ต่อแอนติเจนที่อยู่บนผิวและในแกนกลางของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตามลำดับ ถ้ามีผลตรวจเป็น ลบ(ปฏิเสธ) ตัวใดแสดงว่าไม่พบภูมิคุ้มกันเชื้อโรคตัวนั้น ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีผลตรวจเป็น บวก(ยืนยัน)ตัวใด แสดงว่าพบภูมิคุ้มกันเชื้อโรคตัวนั้น
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.