ซีเอช-47 ชีนุก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ซีเอช-47 ชีนุก

ซี-47 ชีนุก (อังกฤษ: CH-47 Chinook) เป็นเฮลิคอปเตอร์ใบพัดเรียงขนาดหนักสองเครื่องยนต์ มันมีความเร็วสูงสุดที่ 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์หรือเฮลิคอปเตอร์โจมตีในทศวรรษที่ 2503 หรือแม้แต่บางลำในปัจจุบัน บทบาทของมันคือการขนส่งทหาร ปืนใหญ่ และเสบียงเข้าสู่สมรภูมิ มันมีทางลาดด้านท้ายขนาดใหญ่และตะขอแขวนสินค้าอีกสามจุดที่ด้ายนอก

ข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลทั่วไป, บทบาท ...
ซีเอช-47 ชีนุก
Thumb
ข้อมูลทั่วไป
บทบาทเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง
บริษัทผู้ผลิตโบอิง โรเตอร์คราฟท์ ซิสเทมส์
สถานะประจำการ
ผู้ใช้งานหลักกองทัพบกสหรัฐ
กองกำลังป้องกันตนเองทางบกของญี่ปุ่น
กองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์
จำนวนที่ผลิตมากกว่า 1,179 ลำ[1]
ประวัติ
เริ่มใช้งานพ.ศ. 2505
เที่ยวบินแรก21 กันยายน พ.ศ. 2504
สายการผลิตโบอิง ชีนุก (สหราชอาณาจักร)
ปิด

ชีนุกถูกออกแบบและเริ่มผลิตโดยโบอิง เวอร์ทอลเมื่อต้นทศวรรษที่ 2503 ปัจจุบันมันถูกผลิตโดยโบอิง อินเตอร์เกรทเต็ด ดีเฟนซ์ ซิมเทมส์ ชีนุกได้ถูกขายให้กับ 16 ประเทศ ผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดคือกองทัพบกสหรัฐและกองทัพอากาศสหราชอาณาจักรซึ่งใช้โบอิง ชีนุก

การออกแบบและการพัฒนา

สรุป
มุมมอง

ในปลายปีพ.ศ. 2499 กระทรวงกองทัพบกได้ประกาศแผนในการหาเฮลิคอปเตอร์เข้ามาแทนที่ซีเอช-37 โมเจฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ลูกสูบ โดยจะหาลำที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์ไบน์เข้ามาแทน การแข่งขันการออกแบบได้เกิดขึ้นและในเดือนกันยายน พ.ศ. 2501 การร่วมกันเลือกของกองทัพบกและกองทัพอากาศก็ทำให้เกิดแนวโน้มในการเลือกเฮลิคอปเตอร์ขนส่งขนาดกลางของเวอร์ทอลให้กับกองทัพบก อย่างไรก็ตามด้วยทุนที่จำกัดในการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบทำให้การออกแบบเหล่านั้นไม่มากพอต่อความต้องการของกองทัพบก บางคนในกองทัพรู้สึกว่าเฮลิคอปเตอร์แบบใหม่นี้ควรจะเป็นยานพาหนะยุทธวิธีขนาดเบาที่เน้นไปที่บทบาทของเอช-21 และเอช-34 และขนทหารได้ประมาณ 15 นาย อีกปัจจัยหนึ่งเชื่อว่ายานขนส่งแบบใหม่นี้ควรมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อที่จะได้ขนปืนใหญ่ได้ ปัญหาเรื่องขนาดเหล่านี้ทำให้ยากในการตัดสินใจ

เวอร์ทอลเริ่มงานกับเฮลิคอปเตอร์ใบพัดเรียงที่ใช้ชื่อว่าเวอร์ทอล โมเดล 107 หรือวี-107 ในปีพ.ศ. 2500[2] ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2501 กองทัพอากาศได้ทำสัญญากับเวอร์ทอลเพื่อสร้างวายเอชซี-1เอขึ้นมา[3] วายเอชซี-1เอถูกทดสอบโดยกองทัพบกเพื่อประเมินข้อมูลด้านกลไลและการปฏิบัติงาน เครื่องบินทั้งสามลำถูกสร้างขึ้นโดยขนทหารได้ 20 นาย อย่างไรก็ดีวายเอชซี-1เอถูกมองว่าหนักเกินไปที่จะใช้สำหรับการโจมตีและเบาเกินไปที่จะทำหน้าที่ขนส่ง การตัดสินใจเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดเฮลิคอปเตอร์ขนส่งขนาดหนักและในเวลาเดียวกันก็ทำการพัฒนาฮิวอี้ให้เป็นยานลำเลียงทหารทางยุทธวิธี การตัดสินใจนั้นก็เพื่อคงรูปแบบของปฏิบัติการอากาศยานสำหรับทศวรรษถัดไป ผลที่ตามมาคือแนวคิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองทัพแตกต่างจากของนาวิกโยธิน เพราะว่ามีความต้องการด้านอุปกรณ์ที่แตกต่างกันในการใช้งาน[4] วายเอชซี-1เอจึงถูกพัฒนาและกลายเป็นซีเอช-46 ซีไนท์สำหรับกองทัพเรือและนาวิกโยธินในปีพ.ศ. 2505

Thumb
เอชซี-1บีขณะทำการบินทดสอบ

จากนั้นกองทัพได้สั่งซื้อโมเดล 114 ที่ใหญ่กว่าโดยใช้ชื่อว่าเอชซี-1บี วายเอชซี-1บีที่สร้างออกมาก่อนการผลิตทำการบินครั้งแรกในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2504 ในปีพ.ศ. 2505 เอชซี-1บีได้รับชื่อใหม่ว่าซีเอช-47เอ คำว่า"ชีนุก" (Chinook) นั้นมาจากชนเผ่าชีนุกที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแปซิฟิก

ชีนุกมีเครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์สองเครื่องยนต์ ติดตั้งอยู่ที่โคนของใบพัดหลังและเชื่อมติดกันโดยไดรฟท์ชาฟท์ หากเครื่องยนต์เสียไปหนึ่ง อีกเครื่องก็ยังสามารถขับใบพัดทั้งสองต่อไปได้[5]

ขนาดของชีนุกนั้นมาจากการเติบโตของฮิวอี้และช่างเทคนิคของกองทัพบกที่ยืนกรานว่าการโจมตีทางอากาศเป็นสิ่งที่จำเป็น เกิดวิกฤติการโครงการฮิวอี้เมื่อช่างเทคนิคยืนกรานว่าจะไม่ให้มีแบบใหม่ที่เกินไปกว่ายูเอช-1บี ซึ่งนั่นหมายความว่าควรจะมีเฮลิคอปเตอร์แบบใหม่ที่อยู่ระหว่างฮิวอี้และเฮลิคอปเตอร์ขนส่งขนาดกลาง ด้วยการผลักดันฮิวอี้และชีนุก กองทัพได้เร่งโครงการอากาศยานต่อปี[6]

Thumb
ซีเอช-47 ในการซ้อมรบสงครามพิเศษทางน้ำของสหรัฐที่แหลมเวอร์จิเนีย รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551

ซีเอช-47 ที่ได้รับการพัฒนาและทรงพลังยิ่งขึ้นถูกพัฒนาตั้งแต่มันเข้าประจำการ

ชีนุกสำหรับการตลาด โบอิง-เวอร์ทอล โมเดล 234 ถูกใช้ไปทั่วโลกสำหรับการขนส่ง ก่อสร้าง ดับไฟป่า และการสำรวจปิโตรเลียม ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2549 บริษัทเฮลิคอปเตอร์ของโคลัมเบียได้ซื้อแบบสั่งพิเศษของโมเดล 234 จากเวอร์ทอล[7] ปัจจุบันบริษัทกำลังมองหาใบอนุญาตจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติเพื่อผลิตแบบสั่งพิเศษ

ชีนุกยังถูกผลิตภายใต้ใบอนุญาตโดยเอลิคอทเตอร์ริ เมอร์ริดิโอนอลลิในอิตาลีและคาวาซากิในญี่ปุ่น

ประวัติการใช้งาน

สรุป
มุมมอง

สงครามเวียดนาม

ในที่สุดกองทัพบกก็ได้ชีนุกขนาดใหญ่มาเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนส่งขนาดกลางและในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 มีเฮลิคอปเตอร์ 161 ลำถูกส่งมอบให้กับกองทัพ กองพลทหารม้าที่ 1 ของสหรัฐได้นำกองพันชีนุกเข้าร่วมในปีพ.ศ. 2508 และแยกออกมาเป็นกองร้อยในเวลาต่อมา โดยเข้าร่วมในสงครามเวียดนามในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508

ภารกิจส่วนใหญ่ในเวียดนามของชีนุกคือการขนย้ายปืนใหญ่ในภูเขาที่เข้าถึงได้ยาก และคอยเติมเสบียง กองพลทหารม้าที่ 1 พบว่าชีนุกขนได้ไม่เกิน 7 พันปอนด์เมื่อทำงานในเขตภูเขา แต่สามารถบรรทุกเพิ่มได้ 1 พันปอนด์เมื่อทำงานใกล้ชายฝั่ง การออกแบบแรก ๆ ของชีนุกนั้นมีข้อจำกัดเรื่องระบบใบพัดซึ่งไม่สามารถใช้พลังงานได้อย่างเต็มที่ และผู้ใช้ต้องการรุ่นใหม่ที่ดีกว่า

เช่นเดียวกับชิ้นส่วนใหม่ ๆ ชีนุกมีปัญหาในเรื่องของการสอนนักบิน ผู้บัญชาการ นักบิน และหัวหน้าลูกเรือต้องตระหนักเสมอถึงน้ำหนักของทหารในห้องเก็บสินค้า ไม่นานชีนุกก็พิสูจน์ตนเองว่าเหมาะกับการเคลื่อนย้ายปืนใหญ่และเสบียงมากกว่าใช้ลำเลียงทหาร การตัดสินใจช่วงแรก ๆ ที่จะเปลี่ยนไปใช้เฮลิคอปเตอร์ขนาดนี้ฟังดูเป็นสิ่งที่มีเหตุผล[8]

เดิมทีชีนุกมีปืนกลเอ็ม60 ขนาด 7.62 ม.ม.หนึ่งกระบอกที่ข้างใดข้างหนึ่งของลำตัวไว้เพื่อป้องกัน มันมีกรอบเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พลปืนพลาดยิงโดนใบพัด เครื่องกรองฝุ่นถูกติดตั้งเข้าไปเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของเครื่องยนต์ เมื่อถึงจุดสูงสุดในการใช้งานในเวียดนาม ชีนุกก็มีถึง 22 หน่วยที่ใช้ปฏิบัติการ

สงความอิรัก-อิหร่าน

หลังจากข้อตกลงระหว่างโบอิงกับอกุสต้าเกิดขึ้น กองทัพอากาศจักรวรรดิอิหร่านก็ได้ซื้อซีเอช-47ซี 20 ลำในปีพ.ศ. 2514 กองทัพบกจักรวรรดิอิหร่านได้ซื้อซีเอช-47ซี 70 ลำจากอกุสต้าในช่วงปีพ.ศ. 2515–2519 ในปลายปีพ.ศ. 2521 อิหร่านได้วางแผนที่จะสั่งซื้อเพิ่มอีก 50 ลำ แต่ก็ถูกยกเลิกไปเพราะเกิดการปฏิวัติขึ้นเสียก่อน

ประมาณวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 ซีเอช-47ซี 4 ลำของอิหร่านได้เจาะทะลุเข้าไปในน่านฟ้าของโซเวียตเป็นระยะ 15–20 กิโลเมตรในเขตทหารของเติร์กเมนิสถาน พวกมันถูกสกัดกั้นโดยมิก-23 เอ็ม แต่หนึ่งลำถูกยิงตก ลูกเรือ 8 คนเสียชีวิต และลำที่สองถูกบังคับให้ลงจอด ชีนุกถูกใช้โดยกองกำลังผู้ภักดีของจักรวรรดิอิหร่าน ในความพยายามเพื่อต่อต้านการปฏิวัติอิหร่านซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2522[9]

อิหร่านเสียชีนุกไปอย่างน้อย 8 ลำในช่วงปีพ.ศ. 2523–2531 ขณะทำสงครามกับอิรัก ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 เครื่องมิราจ เอฟ-1 ของอิรักได้ยิงซีเอช-47 ของอิหร่านตก 3 ลำในขณะที่พวกเขาบินในระดับต่ำเพื่อส่งทหารเข้าไปในแนวหน้า

สงครามฟอล์กแลนด์

ชีนุกถูกใช้โดยอาร์เจนตินาและสหราชอาณาจักรในสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์เมื่อปีพ.ศ. 2525 กองทัพอากาศอาร์เจนตินาและกองทัพบกอาร์เจนตินาใช้ซีเอช-47ซี 4 ลำซึ่งทำงานทั่วไป ลำหนึ่งของกองทัพบกถูกทำลายขณะจอดโดยแฮริเออร์และอีกลำถูกยึดโดยอังกฤษ ทั้สองลำถูกคืนให้กับอาร์เจนตินาและประจำการอยู่จนถึงปีพ.ศ. 2545[10]

อิรักและอัฟกานิสถาน

มีซีเอช-47ดีประมาณ 163 ลำทำหน้าที่ในคูเวตและอิรักในปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์และพายุทะเลทรายใรปีพ.ศ. 2533-2534[11]

ปัจจุบันซีเอช-47ดีถูกใช้บ่อยครั้งในปฏิบัติการเอ็นดัวริ่งฟรีดอมในอัฟกานิสถานและปฏิบัติการปลดปล่อยอิรักในอิรัก ชีนุกถูกใช้ในภารกิจโจมตีทางอากาศ ส่งทหารเข้าฐานยิ่ง และส่งเสบียง มันยังทำหน้าที่ในการส่งคนเจ็บทางอากาศให้กับกองทัพอังกฤษอีกด้วย มันมักได้รับการคุ้มกันจากเฮลิคอปเตอร์โจมตีอย่างเอเอช-64 อาพาชี่ ซีเอช-47ดีมักมีประโยชน์ในบริเวณภูเขาของอัฟกานิสถานซึ่งความสูงและอุณหภูมิเป็นขีดจำกัดของยูเอช-60 แบล็กฮอว์ก

ชีนุกของฮอลแลนด์ถูกใช้ในคอซอวอ อิรัก และซีเอช-47ดีจำนวนมากถูกส่งเข้าไปในอัฟกานิสถาน ทางของออสเตรเลียก็มีส่วนร่วมในอัฟกานิสถานเช่นกัน

รุ่นต่าง ๆ

สรุป
มุมมอง

ซีเอช-47เอ

เดิมทีเป็นรุ่นขนาดกลางที่มีเครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-5 ที่ให้กำลัง 2,200 แรงม้า แต่ถูกแทนที่ด้วยที-55-แอล-7 ที่ให้กำลัง 2,650 แรงม้าหรือที-55-แอล-7ซีที่ให้กำลัง 2,850 แรงม้าแทน ซีเอช-47เอถูกใช้ในกองทัพสหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2505 โดยสร้างออกมาทั้งสิ้น 349 ลำ

เอซีเอช-47เอ

เดิมทีรู้จักกันในชื่อ Armed/Armored CH-47A มันได้รับชื่ออย่างเป็นทางการว่าเอซีเอช-47เอโดยกองทัพสหรัฐ ย่อมาจาก Attack Cargo Helicopter (เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงโจมตี) มีซีเอช-47เอสี่ลำที่ถูกดัดแปลงให้เป็นรุ่นดังกล่าวโดยบริษัทโบอิงเวอร์ทอลเมื่อปีพ.ศ. 2508 มีสามลำที่ถูกส่งเข้ากองทัพเพื่อทำการทดสอบในเวียดนาม โดยอีกหนึ่งลำถูกนำไปทดสอบด้านอาวุธในสหรัฐ ในปีพ.ศ. 2511 มันก็เหลือเพียงหนึ่งลำและต่อมาโครงการก็ถูกยกเลิกไป

เอซีเอช-47เอมีปืนกลเอ็ม60ดีขนาด 7.62x51 ม.ม.หรือเอ็ม-2เอชบี ขนาด .50 คาลิเบอร์ ปืนใหญ่อากาศเอ็ม24เอ1 ขนาด 20 ม.ม.สองกระบอก เครื่องยิงจรวดมาร์ก 4 เก้าท่อสองเครื่องหรือกระเปาะปืนเอ็ม18เอ1 ขนาด 7.62x51 ม.ม.สองกระเปาะ และปืนยิงลูกระเบิดเอ็ม75 ขนาด 40 ม.ม.หนึ่งกระบอก ลำสุดท้ายที่เหลืออยู่ถูกนำไปแสดงในคลังแสงเรดสโตนในรัฐแอลละบามา[12][13][14]

ซีเอช-47บี

เป็นรุ่นแก้ไขในขณะที่ทางโบอิงกำลังทำการพัฒนารุ่นซีขึ้นมา รุ่นบีมีเครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-7ซีที่ให้กำลัง 2,850 แรงม้าสองเครื่องยนต์ มันมีจุดเด่นที่ใบพัดส่วนหลังและลำตัว มันสามารถติดตั้งปืนกลเอ็ม60ดีไว้ที่ทั้งสองประตูและที่ทางลาดท้ายลำได้อีกด้วย บางลำมีแก๊สน้ำตาหรือนาปาล์ม รุ่นบีสามารถติดตั้งรอกและตะขอได้ ชีนุกได้พิสูจน์ว่ามีประโยชน์ในการขนย้ายอากาศยาน มันได้ช่วยเครื่องบินไว้ 12,000 ลำคิดเป็นมูลค่า 3,600 ล้านดอลลาร์ในสงคราม พวกมันถูกผลิตออกมา 108 ลำ

ซีเอช-47ซี

รุ่นซีมีเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ทรงพลังกว่า[15] มันถูกสร้างออกมาสามลำ ลำแรกใช้เครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-7ซีที่ให้กำลัง 2,850 แรงม้า รุ่นซูเปอร์ซีใช้เครื่องยนต์ไลคอมมิ่ง ที55-แอล-11 ที่ให้กำลัง 3,750 แรงม้าและมีน้ำหนักรวม 21,000 กิโลกรัมรวมทั้งระบบเพิ่มความเสถียร เนื่องมาจากความยุ่งยากของเครื่องยนต์ ที55-แอล-11 ซึ่งถูกรีบนำเข้าสงคราม พวกมันจึงถูกนำออกชั่วคราวในปีพ.ศ. 2513 และแทนที่ด้วยที55-แอล-7ซีแทนจนกระทั่งเครื่องยนต์แบบเดิมถูกแก้ไข รุ่นเอ บี และซีนั้นไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติให้พลเรือนใช้งานเพราะการทำงานของระบบเพิ่มกำลังไฮดรอลิก ระบบที่ถูกออกแบบใหม่ถูกใส่เข้าไปในรุ่นดีจนได้รับการรับรองและมีชื่อว่าโบอิง โมเดล 243 รุ่นซีถูกสร้างออกมา 233 ลำ

รุ่นเอ บี และซีถูกใช้อย่างกว้างขวางในสงครามเวียดนาม พวกมันเข้ามาแทนที่เอช-21 ชอว์นีในบทบาทเข้าสนับสนุนการโจมตี

กองทัพอากาศอังกฤษมีรุ่นซีที่เรียกว่าชีนุก เอชซี1 รุ่นส่งออกของรุ่นซีของอิตาลีมีชื่อว่าซีเอช-47ซี พลัส

ซีเอช-64ดี

ซีเอช-64ดีเดิมทีใช้เครื่องยนต์ที55-แอล-712 สองเครื่องยนต์ แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันหันมาใช้ที55-จีเอ-714เอแทน รุ่นเอ บี และซีทั้งหมดใช้โครงสร้างเหมือนกันหมด แต่ในรุ่นต่อ ๆ มาจะมีจุดเด่นที่เครื่องยนต์ ด้วยระบบตะขอสินค้าของมัน รุ่นดีจึงสามารถบรรทุกสินค้าภายในได้ถึง 26,000 ปอนด์ เช่น รถไถและตู้สินค้าขนาด 40 ฟุต รุ่นดีถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2522 ในปฏิบัติการจู่โจมทางอากาศมันมักทำหน้าที่เป็นพาหนะลำเลียงปืนใหญ่เอ็ม198 ฮาวไอเซอร์ ขนาด 155 ม.ม.พร้อมกระสุนอีก 30 นัด และลูกเรืออีก 11 นาย นอกจากนี้มันยังมีระบบจีพีเอสอีกด้วย

รุ่นดีของกองทัพบกเกือบทั้งหมดถูกดัดแปลงมาจากรุ่นเอ บี และซี ซึ่งมีทั้งสิ้น 472 ลำที่ถูกดัดแปลงเป็นรุ่นดี รุ่นดีลำสุดท้ายถูกส่งมอบให้กับกองกำลังสำรองสหรัฐในรัฐเท็กซัสเมื่อต้นปีพ.ศ. 2545[16]

กองทัพอากาศอังกฤษมีรุ่นดีที่เรียกว่าชีนุก เอชซี2 และเอชซี2เอ รุ่นเอสดีเป็นรุ่นดัดแปลงของรุ่นดีโดยมีถังเชื้อเพลิงใหญ่ขึ้นและความจุสินค้าที่มากกว่าเดิม มันถูกใช้โดยกองทัพอากาศสาธารณรัฐสิงคโปร์ กองทัพบกกรีซ และสาธารณรัฐประชาชนจีน รุ่นดีจีเป็นรุ่นพัฒนาของรุ่นซีสำหรับกองทัพกรีซ

เอ็มเอช-47ดี

Thumb
เอ็มเอช-47ดีของสหรัฐที่กำลังรับยาในอัฟกานิสถาน

เอ็มเอช-47ดีถูกพัฒนาขึ้นสำหรับหน่วยรบพิเศษและสามารถเติมเชื้อเพลิงทางอากาศได้ มันมีระบบโรยตัวและการพัฒนาอื่น ๆ เอ็มเอช-47ดีถูกใช้โดยกองบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 ของสหรัฐ มีเอ็มเอช-47ดี 12 ลำที่ถูกสร้างขึ้นมา มีหกลำที่ดัดแปลงมาจากรุ่นเอและอีกหกลำดัดแปลงมาจากรุ่นซี.[17]

เอ็มเอช-47อี

เป็นรุ่นที่ปัจจุบันใช้โดยกองกำลังพิเศษของสหรัฐ มันเริ่มจากต้นแบบที่ผลิตออกมาในปีพ.ศ. 2534 โดยมีเพียง 26 ลำเท่านั้น ทั้งหมดถูกส่งมอบให้กับหน่วยพิเศษที่เรียกว่า"ไนท์สตอลเกอร์ส" (Nightstalkers) ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ป้อมแคมป์เบลล์ในรัฐเคนตักกี้ รุ่นอีถูกดัดแปลงมาจากรุ่นซี เอ็มเอช-47อีนั้นมีความคล้ายคลึงกับเอ็มเอช-47ดี แต่ต่างกันที่มันมีถังเชื้อเพลิงที่เหมือนกับซีเอช-47เอสดีและมีเรดาร์หลบหลีกภูมิประเทศ[18]

ใรปีพ.ศ. 2538 กองทัพอากาศอังกฤษได้สั่งซื้อชีนุก เอชซี3 8 ลำ มันเป็นรุ่นที่มีราคาถูกกว่าเอ็มเอช-47อีสำหรับปฏิบัติการพิเศษ พวกมันถูกส่งมอบในปีพ.ศ. 2544 แต่ไม่เคยเข้าประจำการเนื่องมาจากปัญหาเรื่องระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศที่ไม่เหมาะสม ในปีพ.ศ. 2551 เริ่มมีการลดระดับเอชซี3 ลงให้เป็นเอชซี2 ทำให้พวกมันเข้าประจำการได้ในที่สุด[19]

ซีเอช-47เอฟ

รุ่นเอฟนั้นพัฒนามาจากรุ่นดีโดยทำการบินครั้งแรกในปีพ.ศ. 2544 รุ่นแรกในสายการผลิตเปิดตัวในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่โรงงานโบอิงในรัฐเพนซิลวาเนียโดยทำการบินครั้งแรกในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2549[20] รุ่นเอฟถูกออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานที่มากขึ้นไปจนถึงปีพ.ศ. 2573 ในการพัฒนาทั้งหมดมีเครื่องยนต์ฮันนีเวลล์ที่ให้กำลัง 4,868 แรงม้า ระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศ และโครงสร้างที่เป็นเนื้อเดียวกันเพื่อลดชิ้นส่วนและรวดเร็วขึ้น[21] การสร้างแบบใหม่จะช่วยลดการสั่นสะเทือน จุดเชื่อมต่อที่หลุดได้ และลดการซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายการดูแลรักษา นอกจากนี้แล้วมันยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย[22] รุ่นเอฟสามารถบินที่ความเร็วมากกว่า 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยบรรทุกสินค้ามากกว่า 9,530 กิโลกรัมได้[23] ระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศยังรวมทั้งห้องนักบินซีเอเอเอส (Common Avionics Architecture System) ของร็อกเวลล์ คอลลินส์และระบบดีเอเอฟซีเอส (Digital Advanced Flight Control System) ของบีเออี ซิสเทมส์[21]

โบอิงได้ส่งมอบรุ่นเอฟจำนวน 48 ลำให้กับกองทัพบกสหรัฐ ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โบอิงได้ประกาศว่ากองทัพได้ทำสัญญา 5 ปี โดยมีมูลค่า 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสร้างเพิ่มอีก 191 ลำพร้อมกับอีก 24 ทางเลือก[23] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เนเธอร์แลนด์ได้กลายเป็นลูกค้าต่างชาติรายแรกที่สั่งซื้อรุ่นเอฟ 6 ลำโดยต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 17 ลำ 6 ลำนี้จะได้รับการติดตั้งห้องนักบินซีเอเอเอสของร็อกเวลล์ด้วยเช่นกัน[24] ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศว่าแผนการเฮลิคอปเตอร์ในอนาคตของพวกเขาจะทำการสั่งซื้อซีเอช-47เอฟ 24 ลำ (ต่อมาลดลงเหลือ 14 ลำ) โดยมีการส่งมอบลำสุดท้ายให้กับกองทัพอากาศในปี พ.ศ. 2558[25]

เอ็มเอช-47จี

Thumb
เอ็มเอช-47จีในงานเปิดตัวของโบอิงเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ปัจจุบันเอ็มเอช-47จีกำลังถูกส่งมอบให้กับกองทัพบกสหรัฐ มันคล้ายคลึงกับเอ็มเอช-47อี แต่มีจุดเด่นที่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศที่ซับซ้อนกว่าซึ่งรวมทั้งระบบสถาปนิกอิเล็กทรอนิกส์อากาศทั่วไปหรือซีเอเอเอส (Common Avionics Architecture System, CAAS) ระบบซีเอเอเอสเป็นห้องนักบินแก้วแบบทั่วไปที่ใช้ในเฮลิคอปเตอร์มากมายอย่างเอ็มเอช-60เค/แอลและเออาร์เอช-70เอ[26] เอ็มเอช-47จียังจะทำงานร่วมกับระบบใหม่ทั้งหมดของซีเอช-47เอฟอีกด้วย[27]

มันมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ในอัฟกานิสถาน ซีเอช-47 นั้นถูกพบว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ายูเอช-60 แบล็กฮอว์กในฐานะเฮลิคอปเตอร์จู่โจม ด้วยขนาดบรรทุก พิสัย และความเร็วที่มากกว่า ชีนุกหนึ่งลำจึงสามารถเข้ามาแทนที่ยูเอช-60 ได้ถึง 5 ลำในบทบาทเดียวกัน[28]

โครงการพัฒนาใหม่จะเข้ามาทำการพัฒนาเอ็มเอช-47ดีและเอ็มเอช-47อีให้กลายเป็นเอ็มเอช-47จีแทน เอ็มเอช-47อีทั้งหมด 25 ลำและเอ็มเอช-47ดีอีก 11 ลำจะได้รับการพัฒนาในปลายปีพ.ศ. 2546 ในปีพ.ศ. 2545 กองทัพได้ประกาศว่าจะทำการขยายกองบินปฏิบัติการพิเศษของตน ซึ่งจะเพิ่มเอ็มเอช-47จีเข้าไปอีก 12 ลำ[29]

เอชเอช-47

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เอชเอช-47 แบบใหม่ที่มีพื้นฐานมาจากเอ็มเอช-47จี ได้ถูกเลือกโดยกองทัพอากาศสหรัฐ มันถูกสร้างออกมา 4 ลำ โดยแบบผลิตอีก 141 ลำจะเข้าประจำการในปีพ.ศ. 2555[30][31] อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 สัญญาดังกล่าวก็ถูกจัดการโดยจีเอโอและทำให้กองทัพอากาศต้องทำการเลือกใหม่อีกครั้ง[32]

รุ่นส่งออก

ซีเอช-47เจเป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกขนาดกลางของกองกำลังป้องกันตนเองทางบกและกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น ซีเอช-47เจเอเป็นรุ่นพิสัยไกลของรุ่นเจ โดยมีถังเชื้อเพลิงที่ใหญ่กว่า ทั้งสองรุ่นถูกสร้างขึ้นภายใต้ใบอนุญาตโดยคาวาซากิ เอชเอช-47ดีเป็นรุ่นสำหรับการค้นหาและช่วยเหลือของกองทัพอากาศสาธารณรัฐเกาหลี

ซีเอช-47ซี ชีนุกแปดลำถูกส่งมอบให้กับกองทัพแคนาดาในปีพ.ศ. 2517 ชีนุกถูกใช้โดยแคนาดาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2517-2534 พวกมันถูกเรียกว่า"ซีเอช-147" เฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ต่อมาได้ถูกขายให้กับเนเธอร์แลนด์และปัจจุบันมันถูกใช้งานโดยกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์โดยใช้ชื่อว่าซีเอช-47ดี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 รัฐบาลออสเตรเลียได้เรียกขอการซื้อซีเอช-47เอฟเจ็ดลำ[33] มีการคาดว่าอิตาลีและสหราชอาณาจักรจะสั่งซื้อเพิ่ม แผนในการพัฒนากองบินซีเอช-47ดีในปัจจุบันทั้งหมดให้กลายเป็นรุ่นเอฟได้เกิดขึ้น และสุดท้ายทำให้มีทั้งหมด 20 ลำ

ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 แคนาดาได้ทำสัญญาที่จะซื้อซีเอช-47เอฟ 15 ลำโดยทำการส่งมอบในปีพ.ศ. 2556-2557.[34][35]

รุ่นพลเรือน

  • โมเดล 234แอลอาร์ (พิสัยไกล) - เป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกทางการตลาด 234แอลอาร์สามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง เช่น บรรทุกผู้โดยสารอย่างเดียว บรรทุกสินค้าอย่างเดียว หรือบรรทุกทั้งผู้โดยสารและสินค้า (LR ย่อมาจาก Long Range)
  • โมเดล 234อีอาร์ (เพิ่มพิสัย) - เป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกทางการตลาด (ER ย่อมาจาก Extended Range)
  • โมเดล เอ็มแอลอาร์ (หลากบทบาทพิสัยไกล) - เป็นเฮลิคอปเตอร์บรรทุกทางการตลาด (MLR ย่อมาจาก Multi Purpose Long Range)
  • โมเดล 234ยูที (ยานขนส่งอเนกประสงค์) -เฮลิคอปเตอร์บรรทุกอเนกประสงค์ (UT ย่อมาจาก Utility Transport)
  • โมเดล 414 - เป็นรุ่นส่งออกของซีเอช-47ดี มันมีอีกชื่อหนึ่งว่าซีเอช-47ดี อินเตอร์เนชั่นแนล ชีนุก (อังกฤษ: CH-47D International Chinook)

แบบดัดแปลง

ในปีพ.ศ. 2512 มีการทดลองโมเดล 347 เกิดขึ้น มันคือซีเอช-47เอที่มีลำตัวที่ยาวขึ้น ใบพัดสี่ใบ ปีกที่สามารถถอดออกได้ที่ติดตั้งอยู่ที่ส่วนบนของลำตัว และอื่น ๆ มันทำการบินครั้งแรกในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 และถูกพัฒนาต่ออีกหลายปี[36]

ในปีพ.ศ. 2516 กองทัพได้ทำสัญญากับโบอิงเพื่ออกแบบเฮลิคอปเตอร์ยกของขนาดหนัก โดยใช้ชื่อว่าเอ็กซ์ซีเอช-62เอ มันเป็นซีเอช-47 ที่ใหญ่กว่าเดิมและมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับเอส-64 สกายเครน (ซีเอช-54 ทาร์ฮี) แต่โครงการก็ถูกยกเลิกในปีพ.ศ. 2518 โครงการเริ่มขึ้นอีกครั้งและทำการบินทดสอบในทศวรรษที่ 2523 แต่ก็ไม่ได้รับทุนจากสภาคองเกรสเหมือนเดิม[36] เอชแอลเอชที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกแยกชิ้นส่วนเมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2548[37]

ประเทศผู้ใช้งาน

กองทัพ

Thumb
ซีเอช-47 ที่กำลังยกเอฟ-15 เข้าสู่สถานที่ฝึกในฐานทัพอากาศครีก

พลเรือน

Thumb
ซีเอช-47บีของนาซ่าที่ใช้เพื่อทำการทดสอบระบบการบิน
 แคนาดา
  • เฮลิฟอร์ แคนาดา คอร์ป (Helifor Canada Corp) (เช่ามาจากโคลัมเบีย เฮลิคอปเตอร์ส)
 สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)
  • องค์กรป้องกันไฟแห่งชาติไต้หวัน (ปัจจุบันใช้รุ่น 234 สามลำและซีเอช-47เอสดีเก้าลำ)
 สาธารณรัฐประชาชนจีน
  • สถาบันการบนพลเรือนจีน (อังกฤษ: Civil Aviation Administration of China) [39]
 เอกวาดอร์
  • อิคาโร แอร์ (เช่ามาจากโคลัมเบีย เฮลิคอปเตอร์ส)
 นอร์เวย์
 สหราชอาณาจักร
  • บริติช แอร์เวย์ส เฮลิคอปเตอร์ส
  • บริติช อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลิคอปเตอร์ส
 สหรัฐ
  • โคลัมเบีย เฮลิคอปเตอร์ส (ปัจจุบันใช้ 234 เจ็ดลำ)
  • อีรา เอวิเอชั่น
  • นาซ่า (14 สิงหาคม พ.ศ. 2522 ถึง 20 กันยายน พ.ศ. 2532) [40]
  • ทรัมพ์ แอร์ไลน์ส

อุบัติเหตุและเหตุการณ์สำคัญ

  • ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2525 เหตุเกิดที่งานแสดงทางอากาศในเยอรมนี ชีนุกของกองทัพสหรัฐลำหนึ่ง (หมายเลข 74-22292) ซึ่งลำเลียงพลร่มได้ตกลง มีผู้เสียชีวิต 46 ราย ต่อมาพบว่าสาเหตุมาจากการสะสมของเปลือกผลวอลนัทที่ถูกใช้เพื่อทำความสะอาดเครื่องยนต์[41][42][43]
  • ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529 ชีนุกของบริติช อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลิคอปเตอร์สได้ตกลงในสนามบินซัมเบอร์บนเกาะเชทแลนด์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 45 รายและชีนุกถูกถอนออกจากการให้บริการในทะเลเหนือ[44]
  • ผู้พันมารี เธเรส รอสซี เคย์ตัน (อังกฤษ: Marie Therese Rossi Cayton) เป็นหญิงอเมริกันคนแรกที่ได้บินเข้าทำการรบในปฏิบัติการพายุทะเลทรายในปีพ.ศ. 2534 เธอถูกสังหารเมื่อชีนุกของเธอตกในวันที่ 1มีนาคม พ.ศ. 2534[45]
  • ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ซีเอช-47ดีของกองทัพเกาหลีใต้ได้ทำการติดตั้งรูปปั้นบนสะพานในโซล พวกเขาล้มเหลวในการปลดตะขอจากรูปปั้น ทำให้ใบพัดฟันเข้ากับอนุสาวรีย์จนทำให้ลำตัวของเครื่องชน เฮลิคอปเตอร์ขาดออกเป็นสองท่อน ครึ่งหนึ่งตกลงบนสะพานจนเกิดเพลิงลุกไหม้และอีกครึ่งตกลงสู่แม่น้ำ ลูกเรือทั้งสามคนเสียชีวิต[46]

รายละเอียดของซีเอช-47ดี

Thumb
Thumb
เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ของซีเอช-47
  • ลูกเรือ 3 นาย (นักบิน นักบินผู้ช่วย วิศวกรการบิน)
  • ความจุ
    • ทหาร 33-35 นาย หรือ
    • เปลหาม 24 เตียงและผู้ดูแล 3 คน หรือ
    • สินค้าน้ำหนัก 12,700 กิโลกรัม
  • ความยาว 30.1 เมตร *
  • เส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด 18.3 เมตร
  • ความสูง 5.7 เมตร
  • พื้นที่ใบพัดหมุน 260 ตารางเมตร
  • น้ำหนักเปล่า 10,185 กิโลกรัม
  • น้ำหนักพร้อมอาวุธ 12,100 กิโลกรัม
  • น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด 22,680 กิโลกรัม
  • ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ไลคอมมิ่ง ที55-จีเอ-712 2 เครื่องยนต์ ให้กำลังเครื่องละ 3,750 แรงม้า
  • ความเร็วสูงสุด 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • ความเร็วประหยัด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • พิสัย 741 กิโลเมตร
  • ระยะในการขนส่ง 2,252 กิโลเมตร
  • เพดานบินทำการ 18,500 ฟุต
  • อัตราการไต่ระดับ 1,522 ฟุตต่อนาที
  • อาวุธ
    • ปืนกลเอ็ม240 ขนาด 7.62 ม.ม.
  • ระบบอิเล็กทรอนิกส์อากาศ
    • ร็อกเวลล์ ซีเอเอเอส (ในเอ็มเอช-47จีและซีเอช-47เอฟ)

ดูเพิ่ม

Thumb
เหล่าทหารที่กำลังรอชีนุกสองลำมารับในอัฟกานิสถาน ปีพ.ศ. 2551
การพัฒนาที่เกี่ยวข้อง
  • ซีเอช-46 ซีไนท์
  • โบอิง ชีนุก (สหราชอาณาจักร)
อากาศยานที่เทียบเท่า

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.