ซาดาร์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซาดาร์ (โครเอเชีย: Zadar; อิตาลี: Zara; ละติน: Iader) เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ห้าของประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับทะเลเอเดรียติกในภูมิภาคแดลเมเชีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ 2,800 ปี ในอดีตเป็นเมืองท่าทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของทะเลเอเดรียติกและเป็นที่ช่วงชิงของหลายอาณาจักรเพื่อครองความได้เปรียบของการค้าทางทะเลในบริเวณนี้ ในช่วงสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ซาดาร์ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่โดดเด่นแห่งหนึ่งของฝั่งทะเลเอเดรียติก และแม้ปัจจุบันนี้หลังโครเอเชียได้แยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราชจากยูโกสลาเวียเมื่อต้นทศวรรษที่ 90 ซาดาร์ก็ยังคงเป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ซาดาร์ Grad Zadar | |
---|---|
นคร | |
พิกัด: 44°6′51″N 15°13′40″E | |
ประเทศ | โครเอเชีย |
เทศมณฑล | ซาดาร์ |
ก่อตั้งโดยชาวลิเบอร์เนียน | 899-800 ปีก่อนคริสตกาล |
อาณาจักรโรมันยกฐานะเป็น Colonia Iulia Iader | 48 ปีก่อนคริสตกาล |
การปกครอง | |
• นายกเทศมนตรี | Božidar Kalmeta (HDZ) |
พื้นที่ | |
• นคร | 25 ตร.กม. (10 ตร.ไมล์) |
• รวมปริมณฑล | 194 ตร.กม. (75 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2011) | |
• นคร | 75,082 คน |
• ความหนาแน่น | 3,000 คน/ตร.กม. (7,800 คน/ตร.ไมล์) |
เดมะนิม | Zadrani |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (CEST) |
รหัสไปรษณีย์ | 23000 |
รหัสพื้นที่ | 23 |
ป้ายทะเบียนรถ | ZD |
เว็บไซต์ | Official website |
แนวการป้องกันเมืองเวนิสระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 17 * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
ประเทศ | โครเอเชีย |
ภูมิภาค ** | ยุโรป |
ประเภท | วัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | (iii), (iv) |
อ้างอิง | 617 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2560 (คณะกรรมการสมัยที่ 41) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
ด้วยความที่อยู่ใต้การปกครองของสาธารณรัฐเวนิสมาช้านาน ซาดาร์จึงได้เป็นแหล่งกำเนิดของ Maraschino ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการบ่มเชอร์รีสายพันธุ์ marasca
เขตซาดาร์ (Zadar County) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคดัลเมเทียติดกับภูมิภาคลีกา (Lika) โดยฝั่งตะวันตกของเขตมีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกมาจากแผ่นดินหลักไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตัวเมืองซาดาร์ตั้งค่อนลงมาทางด้านล่าง
ทะเลเอเดรียติกในช่วงที่เมืองซาดาร์ตั้งอยู่มีหมู่เกาะน้อยใหญ่ทอดเรียงตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนี้ เกาะใหญ่สองเกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกตรงข้ามกับชายฝั่งของซาดาร์คือ เกาะอูกลยาน(Ugljan) และ เกาะปาชมาน(Pašman) ไกลออกไปทางตะวันออกของตัวเมืองซาดาร์เป็นที่ราบระหว่างแนวเขา
ชุมชนเริ่มแรกสุดที่ตั้งในบริเวณของเมืองซาดาร์ปัจจุบันนั้นถูกสร้างโดยกลุ่มคนซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยบันทึกของชาวกรีกในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาลกล่าวว่าว่าชนกลุ่มนี้คือ ชาวลิเบอร์เนียน(Liburnians) และในอาณาเขตทางตะวันตกที่ติดทะเลเอเดรียติกของโครเอเชียนั้นเคยเป็นดินแดนที่เรียกว่า Liburnia ชาวลิเบอร์เนียนนั้นเป็นผู้ชำนาญด้านการเดินเรือและคอยต่อสู้ยับยั้งการจะเข้ามาตั้งอาณานิคมของอาณาจักรกรีกโบราณในย่านนี้ พวกเขายังมีชื่อเสียงด้านการเป็นโจรสลัดค่อยออกปล้นเรือในช่วงหลังๆก่อนจะถูกอาณาจักรโรมันเข้ามาปกครองอีกด้วย
ซาดาร์เริ่มเป็นเมืองที่มีบทบาททางด้านการค้าในทะเลเอเดรียติกตั้งแต่ช่วง 700 ปีก่อนคริสตกาลโดยได้ติดต่อค้าขายกับชาวกรีกโบราณ ชาวฟินิเชีย และ ชาวอีทรัสคันในระยะนั้น ประมาณการณ์ว่าประชากรของซาดาร์อยู่ที่จำนวน 2,000 คน ด้วยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ทำให้ซาดาร์เป็นเมืองหลักของอาณาจักรชาวลิเบอร์เนียน
อาณาจักรโรมันเริ่มเข้ามามีบทบาทในดินแดนของชาวลิเบอร์เนียนในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล แม้ว่าช่วงแรก ๆ นั้นทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันแต่ชาวลิเบอร์เนียนไม่ได้เข้าร่วมสงครามเมื่อฝ่ายโรมันทำการรุกไล่ชาวอิลลีเรียน (Illyrians) ที่ครอบครองดินแดนทางตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่านในสมัยนั้น จนเมื่อชาวอิลลีเรียนถูกกลืนเข้าเป็นประชากรของโรมันจนหมดสิ้นและโรมันได้ทำการตั้งเขต Illyricum ขึ้นเมื่อ 59 ปีก่อนคริสตกาล ซาดาร์จึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน
ใน ค.ศ. 1185 ซาดาร์ได้ก่อกบฏเพื่อให้หลุดจากการปกครองของสาธารณรัฐเวนิส และในระยะนั้นเมืองได้ไปขอความคุ้มครองจากวาติกันและราชอาณาจักรฮังการีแม้จะมีสถานะเป็นเมืองอิสระ จวบจนปี ค.ศ. 1202 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 (Pope Innocent III) ได้ประกาศเรียกคริสตศาสนิกชนให้ก่อสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เพื่อนำดินแดนเยรูซาเลมกลับมาอยู่ในอำนาจของชาวคริสต์อีกครั้ง กองทหารที่จะเข้าร่วมสงครามครูเสดส่วนหนึ่งได้ตัดสินใจที่จะเดินทางจากเวนิสโดยทางทะเลไปขึ้นฝั่งที่อียิปต์ โดยได้ตกลงทำสัญญากับเวนิสให้สร้างกองเรือที่จะขนทหารข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ปี
เมื่อถึงเวลาที่จะเริ่มเดินทาง ทหารที่จะไปร่วมสงครามครูเสดกลับไม่สามารถรวบรวมเงินเพื่อชำระค่าสร้างเรือตามที่ตกลงไว้กับเวนิสได้ ทางเวนิสจึงได้ออกอุบายว่าจะยกยอมส่วนต่างของจำนวนเงินที่ต้องชำระให้ก่อน แต่กองทหารครูเสดนั้นต้องช่วยเวนิสในการกำราบเหล่าเมืองท่าริมทะเลเอเดรียติกที่แข็งขืนไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเวนิสและแผนการหลักคือการไปปิดล้อมโจมตีซาดาร์ เมื่อทางพระสันตะปาปาอินโนเซนส์ที่ 3 ทรงทราบถึงแผนการก็ทรงประนามและสั่งห้ามกองทหารไม่ให้โจมตีซาดาร์ซึ่งเป็นเมืองของชาวคริสต์ กระทั่งทหารที่เป็นผู้นำหลายๆคนเองก็ไม่เห็นด้วยและปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วม ทว่าหมู่ทหารส่วนใหญ่กลับเห็นพ้องที่จะให้ความร่วมมือตามแผนการณ์ของเวนิส
กองทหารที่จะไปทำสงครามครูเสดและกองกำลังของเวนิสออกเดินทางในวันที่ 8 ตุลาคมและไปถึงซาดาร์ในวันที่ 10 พฤศจิกายน แม้ว่าซาดาร์จะได้ทำการเตรียมวางแนวป้องกันขวางปากอ่าวไว้และชาวเมืองต่างก็แขวนผ้าที่ประดับสัญลักษณ์กางเขนเพื่อประกาศว่าเป็นชาวคริสต์เช่นเดียวกับเหล่าทหารครูเสด กระนั้นการปิดล้อมโจมตีซาดาร์ก็ดำเนินไปจนเมืองต้องพ่ายแพ้และตกอยู่ใต้อำนาจของสาธารณรัฐเวนิสเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนในที่สุด ชาวเมืองจำนวนมากต่างพากันหลบหนีไปอยู่ที่เมืองเล็กกว่าใกล้ ๆ เช่น นิน (Nin) บิโอกราด นา โมรู (Biograd na Moru) รวมถึงเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบข้าง โดยการทำลายเมืองซาดาร์นี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เมืองคาธอลิกถูกโจมตีโดยทหารที่เป็นคาธอลิกซึ่งจะไปรบในสงครามครูเสด[1]
ในปี ค.ศ. 1920 ซาดาร์ได้ถูกผนวกเข้าเป็นเขตโพ้นทะเลแห่งเดียวในการปกครองของอิตาลีที่ยังอยู่บนฝั่งดัลเมเทียในขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นของดัลเมเทียกลายเป็นดินแดนของราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (Kingdom of Serbs, Croats and Slovenes) ในระยะนี้ชาวโครแอทที่อาศัยอยู่ในเมืองได้ถูกกดขี่จนต้องยอมย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานในเมืองอื่นรอบนอกที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาวสลาฟใต้ เมื่อชาวโครแอทย้ายออกไป ทางการอิตาลีก็ได้นำชาวอิตาลีจากแผ่นดินหลักเข้ามาเพิ่มจำนวนประชากรในเมืองทดแทน
ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา องค์ประกอบทางประชากรศาสตร์ของซาดาร์ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ชาวอิตาลีที่เคยอยู่ในเมืองเป็นจำนวนมากอพยพนีออกไปเมื่อเมืองถูกรวมเข้าเแ็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย และในช่วงสงครามยูโกสลาเวียชาวเซิร์บที่อาศัยอยู่ในเมืองก็ได้อพยพออกไปเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั้น ณ ทุกวันนี้จำนวนประชากรราว 75,000 คนของซาดาร์เป็นชาวโครแอทเสียส่วนใหญ่
นับแต่อดีต ซาดาร์นั้นเป็นท่าเรือที่สำคัญของเส้นทางการค้าขายในทะเลเอเดรียติก ปัจจุบันนี้แม้การคมนาคมจะเปลี่ยนไปมาก ทว่าเศรษฐกิจของซาดาร์ก็ยังมีการขนส่งทางเรือเป็นองค์ประกอบหลักโดยมี Tankerska plovidba Zadar ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจเรือขนส่งสินค้าตั้งกิจการอยู่
ผลิตภัณฑ์อาหารก็เป็นสินค้าที่สำคัญซึ่งซาดาร์ผลิตได้ นอกจากสินค้าทางพืชผลแล้วซาดาร์ยังมีอุตสาหกรรมด้านประมงและการเพาะเลี้ยงปลาในกระชังตามชายฝั่ง สินค้าประเภทอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของซาดาร์คือเหล้า Maraschino ซึ่งบ่มจากเชอร์รี่ marasca รสอมเปรี้ยว โดยมีประวัติการผลิตเหล้า Maraschino มานับตั้งแต่คริสตวรรษที่ 18 โดยชาวอิตาลีที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในซาดาร์ระหว่างการปกครองโดยสาธารณรัฐเวนิส
การท่องเที่ยวก็เป็นอีกอุตสาหกรรมหลักของเมือง โดยซาดาร์เป็นหนึ่งในเมืองริมทะเลเอเดรียติกที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีจุดสนใจคือประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานและบรรยากาศริมทะเลเอเดรียติกที่แม้แต่อัลเฟรด ฮิตช์ค็อกยังเคยเปรยว่า "ซาดาร์มีพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในโลก" เมื่อได้มาเยี่ยมเยือนเมืองในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1964[2]
ซาดาร์รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านสนามบินของเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกห่างจากตัวเมืองราว 14 กิโลเมตร เที่ยวบินส่วนใหญ่จะมาจากเยอรมันและประเทศทางยุโรปเหนือ[3]
ถนนสายหลักที่เชื่อมต่อซาดาร์กับเมืองใหญ่อื่นๆคือทางหลวงสาย A1 ซึ่งเริ่มจากกรุงซาเกร็บเลาะเลียบเมืองตามชายฝั่งทะเลเอเดรียติกจนลงไปถึงเมืองสปลิตและกำลังก่อสร้างส่วนต่อขยายให้สามารถเดินทางไปจนถึงเมืองดูบรอฟนิกได้
ซาดาร์ยังเป็นท่าเรือเฟอร์รี่หลักแห่งหนึ่งของโครเอเชียอีกด้วย นอกจากเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากจากซาดาร์ไปยังเกาะน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว ยังมีเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปถึงประเทศอิตาลีเช่นกัน
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.