Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชีวนิเวศ (อังกฤษ: biome) หมายถึง สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น อุณหภูมิ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายคลึงกันบนโลก ซึ่งเป็นชุมชนกลุ่มสิ่งมีชีวิต ของพืชและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในดิน ซึ่งมักจะหมายถึงระบบนิเวศ ซึ่งบางส่วนของโลกจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับชนิดการแพร่กระจายขององค์ประกอบสิ่งมีชีวิต (Abiotic Factor) และองค์ประกอบของสิ่งไม่มีชีวิต ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ประเภทของชีวนิเวศ แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ
ไบโอมบนบก (terrestrial biomes) ใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกำหนด ไบโอมบนบกที่มีอยู่ในโลกนี้แบ่งออกได้หลายไบโอม แต่ไบโอมบนบกที่สำคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่ ไบโอมป่าดิบชื้น ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ไบโอมสะวันนา ไบโอมป่าสน ไบโอมทะเลทราย และไบโอมทุนดรา เป็นต้น
ไบโอมป่าดิบชื้น
ลักษณะของภูมิอากาศร้อนและชื้น มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 200-400 เซนติเมตรต่อปี ในป่าชนิดนี้พบพืชและสัตว์หลากหลายนับพันสปีชีส์ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์
ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น
และมีอากาศค่อนข้างเย็น ในป่าชนิดนี้ต้นไม้จะผลัดใบก่อนที่จะถึงฤดูหนาวและจะเริ่มผลิใบอีกครั้งจากฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ที่พบมีหลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม รวมถึง ไม้ล้มลุก
ไบโอมป่าสน
ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น
ไบโอมสะวันนา
ไบโอมทะเลทราย
ไบโอมทุนดรา
ไบโอมในน้ำ (aquatic biomes) ที่พบเป็นองค์ประกอบหลักในไบโอสเฟียร์นั้น ประกอบด้วย ไบโอมแหล่งน้ำจืด (freshwater biomes) และไบโอมแหล่งน้ำเค็ม(marine biomes) และพบกระจายอยู่ทั่วเขตภูมิศาสตร์ในโลกนี้
โดย ทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่ง ซึ่งได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง กับแหล่งน้ำไหล ซึ่งได้แก่ ธารน้ำไหลและแม่น้ำ เป็นต้น
โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำเค็ม ซึ่งได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งพบได้ในปริมาณมากถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ผิวโลก และมีความลึกมากโดยเฉลี่ยถึง 3,750 เมตร ไบโอมแหล่งน้ำเค็มจะแตกต่างจากน้ำจืดตรงที่มีน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยกายภาพสำคัญ[1]
ช่วงรอยต่อของแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็มที่มาบรรจบกัน ซึ่งมักจะพบตามปากแม่น้ำ การขึ้นลงของกระแสน้ำมีอิทธิผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความเค็มของน้ำในแหล่ง น้ำกร่อยเป็นอย่างมาก
biomes ของโลกมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเภทของสภาพภูมิอากาศที่มีประสบการณ์ พื้นที่ที่ได้รับในปริมาณมากเฉลี่ยของปริมาณน้ำฝน (เช่นหมู่เกาะอินโดนีเซียหรือกลางแอฟริกา) และสภาพอากาศที่อบอุ่นมีแนวโน้มที่จะมีความเขียวชอุ่มของป่าสีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพกว้าง biomes เหล่านี้จะถูกระบุไว้ในสีเขียวบนแผนที่ดังกล่าวข้างต้น ในทางตรงกันข้ามร้อนพื้นที่กึ่งเขตร้อนที่มีปริมาณน้ำฝนน้อย (เช่นตอนเหนือของแอฟริกา, เอเชียกลางและตะวันตกกลางออสเตรเลีย) ที่มีพันธุ์ไม้กระจัดกระจายปรากฏเป็นสีเหลืองบนแผนที่ ขอให้สังเกตการเตรียมการที่คล้ายกันของ biomes สำหรับชายฝั่งตะวันออกของเอเชียและอเมริกาเหนือ, สมมาตรของประเภทนิเวศวิทยาแน่นิ่งอยู่บนเส้นศูนย์สูตรผ่านทวีปแอฟริกาและแถบเหนือ (ภาคเหนือ) ป่าที่มีอยู่เพียงพื้นที่ขนาดใหญ่ในขณะที่ซีกโลกเหนือ[2]
ในประเทศไทยได้แบ่งประเภทของป่าออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
- ป่าไม่ผลัดใบ (evergreen forests)
- ป่าผลัดใบ (deciduous forests)
- ป่าดิบชื้น (tropical rain forest) ป่าดิบชื้นเกิดทั่วไปในเขตร้อนและชุ่มชื้น มีฝนตกรายปีโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2,000 มม.ต่อปี และมีช่วงฤดูแล้งที่สั้น พบที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกส่วนของประเทศ แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปบ้างตามสภาพดินฟ้าอากาศและภูมิประเทศที่ขึ้นอยู่ สภาพโดยทั่วไปเป็นป่ารกทึบ ไม้ชั้นบนส่วนใหญ่เป็นไม้ใหญ่วงศ์ไม้ยาง ไม้ชั้นกลาง และไม้ชั้นล่างสามารถขึ้นใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ได้ พื้นป่าประกอบด้วย ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ระกำ หวาย และไผ่ รวมทั้งพืชตระกูลปาล์มที่มักพบอยู่เสมอ บนไม้ใหญ่จะมีพรรณไม้พวกเกาะอาศัย (epiphyte) เช่น เฟิร์น มอส ขึ้นอยู่ทั่วไป และพบเถาวัลย์เป็นจำนวนมาก พรรณไม้ที่สำคัญในป่าดิบชื้นได้แก่ ยางนา (Dipterocarpus alatus ) ยางแดง (D.costulus ) ยางยูง (D. gradiflorus ) ตะเคียนทอง (Hopea odorata ) ไข่เขียว (Parashorea stellat ) เป็นต้น
-ป่าดิบแล้ง (dry evergreen forest) องค์ประกอบของพรรณไม้ที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดระหว่างป่าดิบแล้งกับป่าดิบชื้นก็คือการลดลงของจำนวนชนิดพรรณไม้วงศ์ยางของป่าดิบแล้งเมื่อเปรียบเทียบกับป่าดิบชื้น โครงสร้างของป่าประกอบด้วยเรือนยอด 3 ชั้น โดยไม้ในเรือนยอดชั้นบน (canopy layer) นั้นประกอบด้วยพรรณไม้ผลัดใบน้อยกว่าหนึ่งในสาม ชั้นของไม้พุ่ม (shrub layer) มีการพัฒนาดี และมีเถาวัลย์ที่มีเนื้อไม้ (woody climber) หลายชนิด พรรณไม้พวกปาล์มพบกระจายอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ตามแนวลำน้ำ พบที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 100 ถึง 800 เมตร พรรณไม้สำคัญในป่าดิบแล้งได้แก่ กระบาก (Anisoptera costata ) ยางนา (Dipterocarpus alatus ) ยางปาย (D. costatus ) ยางแดง (D. turbinatus ) ตะเคียนทอง (Hopea odorata )
-ป่าดิบเขา (montane forest or hill evergreen forest) ในพื้นที่ภูเขาสูงในเขตร้อน (tropical mountain) สังคมพืชเขตร้อน จะถูกแทนที่ด้วยสังคมพืชเขตอบอุ่น (temperate vegetation) หรือสังคมพืชป่าดิบเขา (montane vegetation) มักปรากฏให้เห็นที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ขึ้นไป
- ป่าชายหาด (beach forest) พบอยู่ตามชายฝั่งทะเลซึ่งพื้นดินเป็นกรวด ทราย และโขดหิน ที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงได้รับอิทธิพลจากคลื่น ละอองน้ำเค็ม และลมทะเลอย่างต่อเนื่อง ป่าชายหาดพบกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นพื้นที่เล็กๆ องค์ประกอบของพรรณไม้และลักษณะโครงสร้างของป่าชายหาดจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากตามสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องที่ พรรณไม้สำคัญในป่าชายหาดได้แก่ ทุ้งฟ้า (Alstonia macrophylla ) โพทะเล (Thespesia populnea ) และก้านเหลือง (Nuaclea orientalis )
- ป่าพรุ (swamp forest) ป่าพรุถือได้ว่าเป็นป่าที่มีน้ำท่วมขังประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นตามแอ่งน้ำที่มีน้ำขังตลอดปี มีการสะสมซากพืช หรืออินทรียวัตถุอย่างถาวรของสังคมที่ขึ้นอยู่ เนื่องจากมีน้ำจืดแช่ขังอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้ขาดออกซิเจน ซากพืช และอินทรียวัตถุจึงสลายตัวได้ช้ามาก ทำให้เกิดเป็นพรุ (peat bog) ขึ้น พืชส่วนใหญ่จึงมีวิวัฒนาการในส่วนของอวัยวะให้มีโครงสร้างพิเศษ เพื่อดำรงชีพอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ เช่นโคนต้นมีพูพอน (buttress) มีรากหายใจ (pnuematophore) โผล่เหนือชั้นดินอินทรีย์ที่มีน้ำขัง ประเทศไทยมีป่าพรุที่สมบูรณ์เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส พรรณไม้ที่สำคัญในป่าพรุได้แก่ หว้าหิน (Eugenia tumida ) สะเตียว (Ganua motleyana ) ชะเมาน้ำ (Eugenia grandis ) ช้างไห้ (Neesia altissima ) เสม็ดแดงใบใหญ่ (Eugenia chlorantha ) กล้วยไม้ (Polyalthia curtisii ) ขี้หนอนพรุ (Campnosperma coriaceum )
- ป่าชายเลน (mangrove forest) จะพบทั่วไปตามพื้นที่ชายฝั่งทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วม น้ำขึ้นน้ำลง เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการแบ่งเขตการขึ้นอยู่ของพรรณไม้ หรือสิ่งมีชีวิต ในป่าชายเลน คลื่นและกระแสน้ำ มีบทบาทต่อการแพร่กระจายของพันธุ์ไม้ สภาพแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้พรรณไม้ในป่าชายเลนต้องมีการปรับตัว และเปลี่ยนแปลงลักษณะบางประการของระบบราก ลำต้น ใบ ดอก และผลทั้งลักษณะภายนอกและภายในให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่พรรณไม้แต่ละชนิดขึ้นอยู่ เช่นการมีรากค้ำจุนในไม้โกงกาง รากหายใจของไม้แสม และลำพู เป็นต้น
-ป่าเต็งรัง (deciduous dipterocarp forest) ป่าเต็งรังเป็นสังคมพืชที่แห้งแล้ง ซึ่งปัจจัยดิน (edaptic factors) และไฟป่าที่เกิดเป็นประจำทุกปีมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและการกระจายของป่าเต็งรัง ต้นไม้ส่วนใหญ่มีความทนทานต่อไฟผิวดินซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้ดี ป่าเต็งรังเกิดบนพื้นที่แห้งแล้งจนถึงแห้งแล้งมากที่สุดบนที่ลาดเชิงเขา บนไหล่เขา ตามแนวสันเขา และตามแนวลาดของภูเขาจนถึงความสูงประมาณ 600 – 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล ดินตื้น เป็นกรวดจนถึงเป็นทราย หรือเป็นดินแลงที่มีหิน ต้นไม้ที่แสดงคุณลักษณะของป่าเต็งรังอย่างเด่นชัดที่สุด ได้แก่ เต็ง (Shorea obtusa ) และรัง (Shorea siamensis )
-ป่าผสมผลัดใบ (mixed deciduous forest) ป่าผลัดใบผสมเขตร้อนหรือป่าผลัดใบผสม หรือป่าเบญจพรรณ โดยปกติแล้วการพัฒนาจะเกิดขึ้นดีที่สุดบนดินที่ถือกำเนิดมาจากหินปูน (limestone) และดินที่มีความอุดมสมบูรณ์จากการทับถมของตะกอน (alluvium soil) ป่าผลัดใบผสมจะพัฒนาอยู่อย่างกว้างขวางในระดับที่ต่ำกว่า 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล และได้รับผลกระทบจากความแห้งแล้งตามฤดูกาลไม่มากก็น้อย ป่าผลัดใบผสมแตกต่างอย่างเด่นชัดกับป่าเต็งรังตรงที่ไม่มีพรรณไม้ผลัดใบในวงศ์ยางที่ทนแล้งได้ดี แต่จะมีไม้ไผ่ที่มีลำใหญ่และยาวปรากฏอยู่แทนซึ่งจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ พรรณไม้ที่สำคัญในป่าพรุได้แก่ กระบก (Irvingia malayana ) หว้า (Eugenia cumini ) มะม่วงป่า (Mangifera caloneura )
-ป่าเต็งรังผสมสน (pine deciduous dipterocarp forest) เป็นสังคมของป่าเต็งรังผสมกับสนพื้นเมืองสองชนิดคือ สนสองใบ และสนสามใบ โดยเกิดจากการซ้อนทับกัน (overlapping) ระหว่างป่าดิบเขาระดับต่ำสังคมสนเขา - ก่อ ซึ่งมีไม้สนสามใบ กับป่าเต็งรังผสมสนในพื้นที่สูงของภาคเหนือ อันเป็นผลมา จากไฟป่าในฤดูหนาวที่อากาศแห้ง (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) โดยการกระทำของมนุษย์ ที่ระดับความสูงประมาณ 800 – 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล[3]
ระดับความสูง : ความสูงที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการกระจายตัวของที่อยู่อาศัยประเภทเดียวกับที่เส้นรุ้งที่เพิ่มขึ้น
แนวปะการังในลีนีเซียฝรั่งเศส แนวปะการังอยู่รอบ ๆ เกาะใน French Polynesia เพราะเราแบ่งปันโลกที่มีสายพันธุ์อื่น ๆ อีกมากมายของพืชและสัตว์เราจะต้องพิจารณาผลของการกระทำของเรา ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมากิจกรรมของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นได้ทำลายอย่างรวดเร็ว หรือปนเปื้อนที่อยู่อาศัยในระบบนิเวศหลายทั่วโลก มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาทุกประเภทของ biomes เป็นบ้านแต่ละรูปแบบที่ไม่ซ้ำกันจำนวนมากของชีวิต อย่างไรก็ตามการใช้ประโยชน์หนักอย่างต่อเนื่องของ biomes บางอย่างเช่นป่าน้ำจืดและทะเลอาจมีผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น ป่าไม้มีความสำคัญที่พวกเขาเป็นบ้านที่มีความหลากหลายทางชีววิทยา Communties มากที่สุดในโลก ซ่อนอยู่ภายใน biomes เหล่านี้เป็นยาที่มีศักยภาพและหลายพันคนของสปีชีส์ที่มองไม่เห็นและยังไม่ได้เปิด นอกจากนี้ป่ามีกำลังการผลิตสภาพภูมิอากาศบัฟเฟอร์ทั่วโลกดังนั้นการทำลายล้างของพวกเขาอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในสภาพภูมิอากาศโลก เข้าสู่ระบบได้หมดหลายเจริญเติบโตเก่าป่าไม้เมืองหนาว ต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับบ้านกระดาษและผลิตภัณฑ์ไม้อื่น ๆ ยังไม่ได้รับอนุญาตในการอนุรักษ์มาก เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคนเริ่มตระหนักถึงการบันทึกว่าได้เคลียร์มากของป่าเหล่านี้ ใช้ฉลาดของป่าไม้และความพยายามที่จะปลูกต้นไม้ได้ช่วยในการชะลอการสูญเสียของชุมชนเหล่านี้
ป่าเขตร้อนได้ตกเป็นเหยื่อการใช้ประโยชน์ไม้เฉือนและการเผาไหม้การเกษตรและ clearfelling สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมหรือวัว ranching โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกา ต้องการที่เพิ่มขึ้นของเราสำหรับผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์มีการกระตุ้นเหตุการณ์เหล่านี้ สำหรับปีนี้ได้รับการทำลายที่เกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว กว่าครึ่งหนึ่งของป่าเขตร้อนของโลกเดิมจะหายไปแล้ว ความสนใจของประชาชนที่จะแสวงหาผลประโยชน์นี้ได้ช่วยในการบรรเทาปัญหาบ้าง แต่ความท้าทายจำนวนมากยังคงที่จะต้องเผชิญ
น้ำจืดและทะเล biomes อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดของทุก biomes กลางน้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ น้ำเป็นพื้นฐานของชีวิตที่จะสนับสนุนชีวิตและสายพันธุ์ที่นับไม่ถ้วนอยู่ในนั้นทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา biomes น้ำจืดให้เรามีน้ำดื่มและน้ำเพื่อการชลประทานการเพาะปลูกของเรา มหาสมุทรของโลกมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าในสภาพภูมิอากาศโลกกว่าป่าทำ น้ำมีความจุสูงสำหรับความร้อนและเพราะโลกเป็นส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน้ำอุณหภูมิของบรรยากาศจะถูกเก็บไว้อย่างเป็นธรรมอย่างต่อเนื่องและสามารถรองรับชีวิต นอกจากนี้กำลังการผลิตสภาพภูมิอากาศบัฟเฟอร์มหาสมุทรมีหลายพันล้านแพลงก์ตอนการสังเคราะห์แสงซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดของการสังเคราะห์แสงที่เกิดขึ้นบนโลก โดยเหล่านี้มีอาจจะไม่ออกซิเจนเพียงพอที่จะสนับสนุนเช่นประชากรโลกมีขนาดใหญ่และชีวิตสัตว์ที่ซับซ้อน
biomes น้ำจืดส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนจากมลพิษ ไหลบ่าที่มีปุ๋ยและของเสียอื่น ๆ และ dumpings อุตสาหกรรมใส่ลงไปในแม่น้ำบึงและทะเลสาบและมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของสาหร่ายอย่างรวดเร็วผิดปกติ เมื่อสาหร่ายเหล่านี้ตายสารอินทรีย์ที่ตายแล้วสะสมอยู่ในน้ำ นี้จะทำให้น้ำไม่ได้และมันฆ่าจำนวนมากของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัย กฎหมายที่เข้มงวดมีส่วนช่วยในการชะลอมลพิษทางความคิดนี้
overfishing และมลพิษได้ขู่ว่าจะทำให้มหาสมุทรเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางนิเวศวิทยา สารมลพิษอุตสาหกรรมที่มีการทิ้งต้นน้ำของอ้อยได้กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสัตว์ทะเลจำนวนมากที่ไม่เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิต อีกครั้งกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นได้รับการใช้ในการป้องกันการทำลายต่อไปของมหาสมุทร biomes
โดยการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับผลของการกระทำของเราเราทุกคนสามารถได้รับความเข้าใจที่ดีขึ้นของวิธีการรักษา biomes ธรรมชาติของโลก พื้นที่ที่ได้รับการทำลายส่วนใหญ่จะไม่ฟื้นรูปแบบเดิมของพวกเขา แต่การอนุรักษ์จะช่วยให้พวกเขาจากเลวร้ายลง[4]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.