Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การสะกดจิต (อังกฤษ: hypnosis) เป็นสภาพพิชานของมนุษย์ ที่มีการมุ่งความใส่ใจและลดความสนใจต่อสิ่งรอบตัว รวมทั้งตอบสนองต่อสิ่งชักจูงง่ายขึ้น[1]
ทฤษฎีอธิบายสิ่งที่เกิดระหว่างการสะกดจิตแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทฤษฎีเปลี่ยนแปลงสภาพ มองว่าการสะกดจิตเป็นการเปลี่ยนสภาพจิตหรือการอยู่ในภวังค์ (trance) สังเกตจากระดับความรู้สึกตัวที่แตกต่างจากสภาพพิชานปกติ[2][3] ในทางตรงข้าม ทฤษฎีไม่ใช่สภาพ มองว่าการสะกดจิตเป็นรูปแบบหนึ่งของการกำหนดบทบาทในจินตนาการ[4][5][6]
คนที่เคยถูกสะกดจิตกล่าวว่าพวกเขารู้สึกมีสมาธิมากขึ้น และระหว่างถูกสะกดจิตยังสามารถตั้งสมาธิอย่างแรงกล้าไปยังความคิดหรือความทรงจำเฉพาะ โดยไม่สนใจสิ่งเร้าอื่น[7] ผู้ถูกสะกดจิตมักแสดงการตอบรับต่อสิ่งชักจูงง่ายขึ้น[8]
การสะกดจิตมักทำโดยใช้ชุดคำสั่งเบื่องต้นและการชักจูง การใช้การสะกดจิตเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ เรียกว่า "สะกดจิตบำบัด" (hypnotherapy) และการใช้เพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมถูกเรียกว่า "การสะกดจิตแบบการแสดง" (stage hypnosis) มักนำแสดงโดยนักมโนนิยม (mentalist) ที่ผ่านการฝึกศาสตร์ของมโนนิยม (mentalism)
คำว่า "hypnosis" มาจากคำกรีกโบราณ ὕπνος hypnos ที่แปลว่า "การนอน" และคำต่อท้าย -ωσις -osis หรือจาก ὑπνόω hypnoō, "การทำให้หลับ" (ส่วนหนึ่งของคำว่า hypnōs-) และคำต่อท้าย -is[9][10] ทั้งคำว่า "hypnosis" และ "hypnotism" มาจากคำว่า "neuro-hypnotism" (การนอนทางประสาท) ล้วนเป็นคำที่ตั้งขึ้นโดย Étienne Félix d'Henin de Cuvillers ใน ค.ศ. 1820
คนที่กำลังถูกสะกดจิตนั้นผ่อนคลาย มีความใส่ใจไปที่สิ่งเดียว และถูกชักจูงได้ง่าย[11]
คนที่ถูกสะกดจิตเหมือนจะสนใจแต่เพียงการสื่อสารจากผู้สะกดจิตเท่านั้น และมักตอบสนองในรูปแบบอัตโนมัติโดยไม่ผ่านการวิเคราะห์ ขณะเมินเฉยต่อสิ่งรอบข้างทุกอย่างนอกจากสิ่งที่ถูกชี้โดยผู้สะกดจิต ขณะถูกสะกดจิต คนมักเห็น รู้สึก ได้กลิ่น หรือรับรู้ ตามคำชักจูงของผู้สะกดจิต แม้คำชักจูงเหล่านั้นอาจตรงข้ามกับสิ่งเร้าจริงซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อม ผลของการสะกดจิตไม่จำกัดอยู่เพียงการรับรู้เท่านั้น ทว่าความทรงจำและความตระหนักรู้ในตนอาจเปลี่ยนไปตามการชักจูง และผลของการชักจูงอาจคงอยู่หลังตื่นจากการสะกดจิต[12]
สามารถกล่าวได้ว่าการชักจูงโดยการสะกดจิตตั้งใจใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ยาหลอก ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 1994 เออร์วิง เคอร์ช (Irving Kirsch) บรรยายว่าการสะกดจิตเป็นเหมือน "ยาหลอกแบบไม่ลวงตา" (nondeceptive placebo) หรือเป็นวิธีที่ใช้ประโยชน์จากการชักจูงอย่างเปิดเผยและใช้วิธีเพื่อขยายผล[13][14]
การสะกดจิตถูกประยุกต์ใช้ในหลายด้าน รวมทั้ง การใช้เพื่อรักษาทางการแพทย์หรือจิตบำบัด, การใช้ทางทหาร, การใช้เพื่อพัฒนาตนเอง และการใช้เพื่อความบันเทิง ปัจจุบันสมาคมการแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) ไม่แสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการต่อการใช้การสะกดจิตทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยโดยสภาสุขภาพจิตจากสมาคมการแพทย์อเมริกัน ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1958 พบว่าการสะกดจิตมีประสิทธิภาพด้านการรักษา[15]
การสะกดจิตถูกใช้เป็นแนวทางเสริมของการบำบัดด้วยการรู้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1949 การสะกดจิตถูกให้ความหมายโดยเปรียบเทียบกับการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม โดยคำพูดของนักบำบัดเหมือนกับสิ่งเร้าและการถูกสะกดจิตเป็นการตอบสนองที่มีเงื่อนไข วิธีการบำบัดด้วยการรู้แบบดั้งเดิมบางแบบตั้งอยู่บนฐานของการวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม โดยมักประกอบด้วยการชักนำเข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย ตามด้วยการเสนอสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความกลัว วิธีหนึ่งในการชักนำเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายคือการสะกดจิต[16]
การสะกดจิตยังถูกใช้ในการสืบสวน, กีฬา, การศึกษา, กายภาพบําบัด และการฟื้นฟูสมรรถภาพ[17] การสะกดจิตยังถูกใช้โดยศิลปินเพื่อเพิ่มความสร้างสรรค์ อ็องเดร บรีตัน (André Breton) ผู้โด่งดังที่สุดในวงการลัทธิเหนือจริง ใช้การสะกดจิต, การเขียนอัตโนมัติ (automatic writing) และแบบร่างเพื่อความสร้างสรรค์ วิธีการสะกดจิตถูกใช้เพื่อให้คนไข้กลับไปรู้สึกเหมือนอยู่ภายใต้ผลของยาอีกครั้ง[18] หรือประสบสิ่งลี้ลับ[19][20] การสะกดจิตตนเองนิยมใช้เพื่อเลิกบุหรี่, คลายความเครียดหรือความกังวล, ช่วยลดน้ำหนัก และช่วยให้นอนหลับ การสะกดจิตแบบการแสดงสามารถชักชวนให้คนแสดงสิ่งแปลก ๆ ในสาธารณะ[21]
บางคนมองว่าการสะกดจิตมีส่วนคล้ายกับจิตวิทยาฝูงชน, โรคฮิสทีเรียทางศาสนา และการอยู่ในภวังค์ขณะประกอบพิธีกรรมของชนเผ่าในวัฒนธรรมสมัยก่อนรู้หนังสือ[22]
การสะกดจิตบำบัดเป็นการใช้การสะกดจิตในจิตบำบัด[23][24][25] แพทย์และนักจิตวิทยาอาจใช้การสะกดจิตเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า, โรควิตกกังวล, โรคพฤติกรรมการกินผิดปกติ, ความผิดปกติด้านการนอน, การเสพติดการพนัน และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ[26][27][28] ส่วนนักจิตบำบัดที่ได้รับการรับรองซึ่งไม่ใช่แพทย์หรือจิตแพทย์มักรักษาอาการติดบุหรี่และช่วยในการคุมน้ำหนัก
การสะกดจิตบำบัดยังสามารถใช้รักษาโรคทางจิตควบคู่กับการบำบัดซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วอย่างการบำบัดทางความคิด (cognitive therapy) การสะกดจิตบำบัดไม่ควรถูกใช้เพื่อซ่อมแซมหรือฟื้นฟูความทรงจำ เพราะมักทำให้ความทรงจำชัดเจนขึ้นและเพิ่มความมั่นใจในความทรงจำเท็จ[29]
งานวิจัยขั้นต้นแสดงว่าการสะกดจิตระยะเวลาสั้น ๆ อาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วย HIV-DSP ด้วยความที่สามารถใช้ควบคุมความเจ็บปวด, ความได้ผลระยะยาวหลังการแซกแซงระยะสั้น, ความที่ผู้ป่วยสามารถสะกดจิตตนเองได้, ค่าใช้จ่ายไม่สูง และมีข้อดีที่ไม่ต้องใช้ยา[30]
การสะกดจิตบำบัดสมัยใหม่ถูกใช้ในหลายรูปแบบ โดยให้ผลสำเร็จต่างกันไป เช่น:
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2001 เดียร์เดร บาเรต (Deirdre Barrett) นักจิตวิทยาจากมหาลัยฮาร์วาร์ดเขียนบนบทความจากวารสาร Psychology Today[56] ว่า:
การอยู่ในภวังค์ขณะถูกสะกดจิตไม่อาจรักษาโรคได้ในตัวเอง ทว่าการชักจูงอย่างเฉพาะเจาะจงและรูปภาพที่ถูกป้อนให้ผู้รับสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้รับได้อย่างลึกซึ้ง ขณะพวกเขาซ้อมรูปแบบใหม่ที่พวกเขาอยากจะคิดและรู้สึก พวกเขาสร้างรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำลังจะทำในอนาคต...
บาเรตบรรยายถึงวิธีเฉพาะที่สิ่งนี้ถูกดำเนินการสำหรับการเปลี่ยนนิสัยและเยียวยาโรคกลัว ในหนังสือเกี่ยวกับกรณีศึกษาการสะกดจิตบำบัด ค.ศ. 1998 เธอเขียนสรุปงานวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการสะกดจิตและโรคดิสโซสิเอทีฟ, การเลิกบุหรี่ และอากการนอนไม่หลับ โดยบรรยายถึงความสำเร็จของการรักษา[27]
มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้การสะกดจิตบำบัดเพื่อรักษาโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) [57][58] การสะกดจิตเพื่อรักษาโรคลำไส้แปรปรวนได้รับการสนับสนุนระดับกลางจากคำแนะนำของสถาบันสุขภาพแห่งชาติและความเป็นเลิศทางคลินิก (National Institute for Health and Clinical Excellence) ซึ่งถูกแผยแพร่เพื่อการบริการสุขภาพที่สหราชอาณาจักร[59] การสะกดจิตบำบัดถูกใช้เพื่อช่วยเหลือหรือเป็นทางเลือกของยาสลบจากสารเคมี[60][61][62]
หลายงานวิจัยแสดงว่าการสะกดจิตสามารถลดความเจ็บปวดที่รู้สึกระหว่างการการตัดเนื้อตายออกจากแผลไฟไหม้[63] การเจาะเก็บไขกระดูก และการคลอด[64][65] วารสาร International Journal of Clinical and Experimental Hypnosis พบว่าการสะกดจิตลดความเจ็บปวดในร้อยละ 75 ของผู้รับการทดลองทั้งหมด 933 คนใน 27 การทดลอง[66]
การสะกดจิตส่งผลในการลดความเจ็บปวดจากมะเร็งและจากการรับมือกับมะเร็ง[67][68] และโรคเรื้อรังอื่น ๆ[66] การสะกดจิตยังอาจช่วยควบคุมอาการคลื่นไส้และอาการอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้[69][70][71][72] บางคนอ้างว่าการสะกดจิตอาจช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยโรคมะเร็งแข็งแรงขึ้น American Cancer Society กล่าวว่า "หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีตอนนี้ไม่สนับสนุนความคิดที่ว่าการสะกดจิตสามารถส่งผลกระทบต่อการพัฒนาหรือการรุกรามของมะเร็ง"[73]
การสะกดจิตถูกใช้เพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัดทางทันตกรรม นักวิจัยรายงานว่าการสะกดจิตสามารถช่วยแม้กระทั่งผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บในช่องปากและฟัน[74] นอกจากนี้ Meyerson และ Uziel ยังเสนอว่าวิธีการสะกดจิตสามารถช่วยลดความกังวลของผู้ป่วยเป็นโรคกลัวการทำฟันอย่างรุนแรง[75]
สำหรับนักจิตวิทยาบางคนที่เชื่อในทฤษฎีเปลี่ยนแปลงสภาพของการสะกดจิต การบรรเทาความเจ็บปวดโดยการสะกดจิตเป็นผลของการประมวลผลแบบคู่ของสมอง โดยการตั้งความสนใจหรือละความสนใจจากสิ่งหนึ่ง[76]
สมาคมนักจิตวิทยาอเมริกันแผยแพร่งานวิจัยเปรียบเทียบผลของการสะกดจิต, การชักจูงธรรมดา และยาหลอกในการลดความเจ็บปวด โดยพบว่าคนที่ถูกชักจูงง่ายรู้สึกว่ามีการลดลงของความเจ็บปวดมากกว่าหลังถูกสะกดจิตเมื่อเทียบกับยาหลอก ส่วนคนที่ถูกชักจูงยากกว่าไม่รู้สึกว่ามีความแตกต่างระหว่างการสะกดจิตและยาหลอก การชักจูงธรรมดาก็ลดความเจ็บปวดเช่นกันเมื่อเทียบกับยาหลอก โดยได้ผลกับคนจำนวนมากกว่าทั้งที่ถูกชักจูงง่ายและยากเมื่อเทียบกับการสะกดจิต ผลการทดลองแสดงว่าการบรรเทาความเจ็บปวดเป็นผลจากการชักจูงไม่ว่าจะเป็นด้วยการสะกดจิตหรือไม่[77]
ใน ค.ศ. 2006 เอกสารลับจาก ค.ศ. 1966 ที่ถูกเปิดเผยแสดงว่าการสะกดจิตถูกศึกษาเพื่อการประยุกต์ใช้ทางทหาร[78] เอกสารฉบับเต็มสำรวจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้แบบควบคุม[78] ข้อสรุปโดยรวมของการวิจัยกล่าวว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าการสะกดจิตสามารถใช้เพื่อการทหาร และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า "การสะกดจิต" เป็นปรากฏการณ์ที่ให้ความหมายเหนือไปกว่าการชักจูงธรรมดา, แรงจูงใจ และการคาดหวังของผู้ถูกทดลอง
การสะกดจิตตนเองเกิดขึ้นเมื่อคนสะกดจิตตนเอง โดยมักใช้วิธีการแนะนำใจตัวเอง (autosuggestion) เทคนิคมักถูกใช้เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการลดน้ำหนัก เลิกบุหรี่ หรือคลายความเครียด บางทีคนที่สะกดจิตตนเองอาจต้องการความช่วยเหลือ บางคนใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า มายด์แมชีน (mind machine) เข้าช่วย หรือบางคนอาจใช้การบันทึกเสียงสะกดจิต การสะกดจิตตนเองอาจช่วยลดอาการตื่นเวที ช่วยให้ผ่อนคลาย และช่วยในความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย[79]
การแสดงการสะกดจิตเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้ความบันเทิง โดยมักแสดงให้ผู้ชมดูในคลับหรือโรงละคร ผลของการแสดงจากนักสะกดจิตทำให้หลายคนเชื่อว่าการสะกดจิตเป็นการควบคุมจิตใจรูปแบบหนึ่ง การแสดงการสะกดจิตมักพยายามสะกดจิตผู้ชมทั้งหมด จากนั้นจึงเลือกคนที่อยู่ "ภายใต้" การสะกดจิตให้ขึ้นมาบนเวทีเพื่อแสดงสิ่งน่าอายต่าง ๆ ให้ผู้ชมที่เหลือดู อย่างไรก็ตาม ผลของการแสดงการสะกดจิตน่าจะประกอบจากปัจจัยทางจิตวิทยา, การคัดเลือกผู้เข้าร่วม, การชักจูง, การจัดฉาก และการใช้กลอุบาย[80] ความต้องการที่จะเป็นศูนย์รวมความสนใจ, การมีข้ออ้างที่จะเอาชนะความกลัวของตน และความกดดันที่ต้องทำให้คนอื่นพอใจ อาจเป็นเหตุที่ทำให้ผู้ร่วมแสดง "ตามน้ำ"[81]
หลายคนถูกตั้งข้อสงสัยหรือกล่าวหาว่าประกอบอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต รวมถึงการขโมยและการทารุณกรรมทางเพศ
ใน ค.ศ. 2011 นักสะกดจิตชั่วชาวรัสเซียถูกต้องสงสัยว่าใช้กลอุบายหลอกลวงให้ลูกค้าธนาคารในเมืองสตัฟโรปอลแจกเงินสดหลายพันปอนด์ ตำรวจท้องถิ่นกล่าวว่าเขาจะเข้าหาพวกลูกค้าและทำให้พวกเขาถอนเงินทั้งหมดจากบัญชีธนาคารมาให้เขา[82] เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นที่เมืองลอนดอนใน ค.ศ. 2014 ซึ่งเทปวิดีโอแสดงคล้ายขโมยได้สะกดจิตเจ้าของร้านก่อนจะทำการปล้น เหยื่อไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดขณะหัวขโมยค้นกระเป๋าสตางค์ของเขาเพื่อขโมยเงินสด และเพียงกล่าวถึงขโมยหลังเขาได้หนีไปแล้ว[83][84]
ใน ค.ศ. 2013 Timothy Porter ซึ่งขณะนั้นเป็นนักสะกดจิตมือใหม่อายุ 40 ปี พยายามล่วงละเมิดทางเพศลูกค้าสาวที่พยายามลดน้ำหนัก เธอรายงานว่าตื่นขึ้นมาจากภวังค์และพบเขาอยู่ข้างหลังเธอโดยไม่ใส่กางเกง และบอกให้เธอช่วยตัวเอง ต่อมาเขาถูกฟ้องในศาลในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ[85] ใน ค.ศ. 2015 Gary Naraido ซึ่งขณะนั้นอายุ 52 ปี ถูกตัดสินให้ติดคุก 10 ปี จากคดีทารุณกรรมทางเพศที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิตหลายคดี นอกจากคดีหลักที่เขาได้กระทำการทารุณกรรมทางเพศต่อหญิงอายุ 22 ปี โดยการหลอกว่าจะทำการบำบัดให้ฟรีในโรงแรม เขายังยอมรับว่าเคยล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงอายุ 14 ปี[86]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.