การปะทุของเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ พ.ศ. 2553
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การปะทุของเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ พ.ศ. 2553 เป็นชุดการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งเกิดขึ้นที่เอยาฟยาตลาเยอคุตล์ ในประเทศไอซ์แลนด์ กิจกรรมแผ่นดินไหวได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2552 และนำไปสู่การปะทุของภูเขาไฟเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งมีการจัดดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟ อยู่ที่ระดับ 1[1] การปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553 และได้รบกวนการจราจรทางอากาศในทวีปยุโรปนับตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน เป็นต้นมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารนับล้านคน
การปะทุของเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ พ.ศ. 2553 | |
---|---|
ปล่องภูเขาไฟในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2010 | |
วันที่ | 20 มีนาคม – 23 มิถุนายน ค.ศ. 2010 |
ประเภท | การปะทุแบบสตรอมโบเลียน และวัลคาเนียน |
สถานที่ | ไอซ์แลนด์ 63.633°N 19.6°W |
ระดับ | 4 |
ผลกระทบ | มีผลต่อการเดินทางกับอากาศยานอย่างมาก แต่มีผลต่อการเกษตรในไอซ์แลนด์เพียงเล็กน้อย |
แผนที่แสดงที่เมฆเถ้าภูเขาไฟในวันที่ 14–25 เมษายน ค.ศ. 2010 |
ปลายปี พ.ศ. 2552 กิจกรรมแผ่นดินไหวได้เกิดขึ้นรอบพื้นที่ภูเขาไฟเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ โดยมีแผ่นดินไหวขนาดย่อมหลายพันครั้ง (ส่วนใหญ่มีความรุนแรง 1-2 โมเมนต์-แมกนิจูด ลึกลงไป 7-10 กิโลเมตรใต้ภูเขาไฟ) [2] เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ชุดอุปกรณ์ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) ซึ่งสถาบันอุตุนิยมวิทยาแห่งไอซ์แลนด์ใช้ที่ทุ่งทอร์วัลต์เซรีในแถบเอยาฟเยิตล์ (ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 15 กิโลเมตรจากจุดที่มีการปะทุของภูเขาไฟครั้งล่าสุด[3]) ได้แสดงให้เห็นว่า เปลือกท้องถิ่นได้เคลื่อนไปทางทิศใต้ 3 เซนติเมตร โดยการเคลื่อน 1 เซนติเมตร ใช้เวลาภายใน 4 วัน ความผิดปกติของกิจกรรมแผ่นดินไหวครั้งนี้ประกอบกับการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของแผ่นเปลือกโลกในพื้นที่ได้ให้หลักฐานแก่นักธรณีฟิสิกส์ว่า หินหนืด (magma) จากใต้แผ่นเปลือกโลกกำลังไหลเข้าสู่กะเปาะหินหนืด (magma chamber) ใต้ภูเขาไฟเอยาฟยาตลาเยอคุตล์
กิจกรรมแผ่นดินไหวดังกล่าวยังได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนับตั้งแต่วันที่ 3-5 มีนาคม ได้เกิดแผ่นดินไหวเกือบ 3,000 ครั้งซึ่งตรวจวัดได้ที่จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวในภูเขาไฟ แผ่นดินไหวส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก (2 แมกนิจูด) จนไม่สามารถอ่านได้ว่าเป็นเครื่องแสดงถึงการปะทุของภูเขาไฟ แต่แผ่นดินไหวบางส่วนถูกตรวจพบได้ในเมืองใกล้เคียง[4] การปะทุคาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 ระหว่างเวลา 22.30 ถึง 23.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ห่างจากธารน้ำแข็งในเนินลาดทางเหนือของช่องเขาฟิมม์เวอร์ดูเฮาลส์ไปทางทิศตะวันออกในระยะไม่กี่กิโลเมตร[5][6]
การปะทุเกิดขึ้นทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 ณ ระบบภูเขาไฟเอยาฟยาตลาเยอคุตล์ รายงานการพบเห็นครั้งแรกเกิดขึ้นราว 23:00 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนิช โดยกลุ่มเมฆสีแดงถูกพบเห็นที่ภูเขาไฟ การปะทุเป็นผลสืบเนื่องมาจากกิจกรรมแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและการเปลี่ยนลักษณะในอัตราสูงในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนหน้าการปะทุ ประกอบกับหินหนืดซึ่งเติมพลังให้กับภูเขาไฟ[7]
รอยแยกที่เกิดขึ้นมีความยาว 500 เมตรในแนวตะวันออกเฉียงเหนือไปยังตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีปล่องราว 10-12 ปล่องปล่อยลาวาซึ่งมีอุณหภูมิราว 1,000 องศาเซลเซียสพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศกว่า 150 เมตร โดยลาวาเป็นหินบะซอลต์แอลคาไลโอลิวีน[8] ลาวาดังกล่าวค่อนข้างหนืด ทำให้การเคลื่อนของกระแสลาวาไปทางตะวันตกและตะวันออกของรอยแยกเกิดขึ้นได้ช้า การปะทุดังกล่าวจึงจัดเป็นการปะทุพ่น[9] รอยแยกแห่งใหม่เปิดออกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม โดยห่างจากรอยแยกแห่งแรกออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 200 เมตร มันมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย จากข้อมูลของนักธรณีฟิสิกส์ รอยแยกทั้งสองที่เกิดขึ้นนี้มาจากกะเปาะหินหนืดแห่งเดียวกัน ไม่มีกิจกรรมแผ่นดินไหวที่ผิดปกติเมื่อรอยแยกนี้ปรากฏขึ้น และไม่มีการขยายตัวของเปลือกโลกใด ๆ จากข้อมูลที่ได้จากเครื่องวัดการสั่นสะเทือนและเครื่องบันทึกจีพีเอสต่าง ๆ ซึ่งติดตั้งในพื้นที่ใกล้เคียง[10][11]
สถานีเรดาร์ของสถาบันอุตุนิยมวิทยาแห่งไอซ์แลนด์ไม่ตรวจพบปริมาณเถ้าตกจากภูเขาไฟในปริมาณที่ตรวจวัดได้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกของการปะทุ[12] อย่างไรก็ตาม ระหว่างคืนวันที่ 22 มีนาคม มีรายงานเถ้าตกในหมู่บ้านฟลีโยตส์ฮลีท (ห่างจากจุดที่เกิดการปะทุออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 20-25 กิโลเมตร) และเมืองควอลส์เวอตลูร์ (ห่างจากจุดที่เกิดการปะทุออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร) ทำให้ยานพาหนะต่าง ๆ ถูกปกคลุมด้วยชั้นเถ้าภูเขาไฟสีเทา ราว 7.00 น. ของวันที่ 22 มีนาคม การระเบิดครั้งหนึ่งได้ส่งพวยเถ้าถ่านสูงขึ้นไปในอากาศถึง 4 กิโลเมตร[13] เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เกิดการปะทุไอน้ำขนาดเล็กขึ้น เมื่อหินหนืดร้อนออกมาสัมผัสกองหิมะซึ่งอยู่ใกล้เคียง ทำให้ปล่อยไอน้ำขึ้นไปถึงความสูง 7 กิโลเมตร และสามารถตรวจพบได้โดยเรดาร์ของสถาบันอุตุนิยมวิทยาแห่งไอซ์แลนด์ นับตั้งแต่นั้นมา การปะทุไอน้ำก็ได้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง[14] และวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553 รอยแยกแห่งใหม่ก็ได้เปิดขึ้นบนภูเขาไฟ[15]
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553 อุปกรณ์เครื่องวัดอัตราการไหลซึ่งตั้งอยู่ ณ แม่น้ำธารน้ำแข็งครอสเซาเริ่มต้นบันทึกการเพิ่มระดับของน้ำและอุณหภูมิของน้ำอย่างกะทันหัน โดยรวมแล้ว อุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น 6 องศาเซลเซียสในเวลาสองชั่วโมง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ในแม่น้ำครอสเซานับตั้งแต่เริ่มมีการตรวจวัดเป็นต้นมา ไม่นานนักหลังจากนั้น ระดับน้ำก็กลับคืนสู่ระดับปกติและอุณหภูมิของน้ำก็เริ่มลดลงด้วยเช่นกัน[16] เชื่อกันว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำมีความเกี่ยวข้องกับการปะทุของภูเขาไฟที่อยู่ใกล้เคียง และส่งผลกระทบต่อบางส่วนของบริเวณลุ่มน้ำครอสเซา อุณหภูมิของแม่น้ำฮรูเนาซึ่งไหลผ่านหุบเขาฮรูเนาร์กิล อันเป็นบริเวณที่บางส่วนของสายลาวาได้ไหลลงไป ก็มีการบันทึกโดยนักธรณีวิทยาว่ามีอุณหภูมิระหว่าง 50-60 องศาเซลเซียส ซึ่งบ่งชี้ว่าแม่น้ำลดความร้อนของลาวาที่อยู่ในหุบเขานั้น[17]
ตัวอย่างของเถ้าภูเขาไฟที่เก็บได้จากบริเวณใกล้พื้นที่การปะทุแสดงถึงซิลิกาเข้มข้นร้อยละ 58 ซึ่งสูงกว่าในกระแสลาวาที่ไหลออกมา[18] ความเข้มข้นของฟลูออไรด์ละลายน้ำได้คิดเป็น 1 ใน 3 ของความเข้มข้นในการปะทุของภูเขาไฟเฮคลา โดยมีค่าเฉลี่ยของฟลูออไรด์อยู่ที่ 104 มิลลิกรัมต่อเถ้าหนึ่งกิโลกรัม เกษตรกรรมมีความสำคัญต่อภูมิภาคนี้ของไอซ์แลนด์อย่างมาก[19] และเกษตรกรใกล้กับภูเขาไฟได้รับคำเตือนมิให้สัตว์เลี้ยงดื่มน้ำจากลำธารหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ[20] เพราะฟลูออไรด์ความเข้มข้นสูงสามารถส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อไตและตับในสัตว์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแกะ)[21]
เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553 เอยาฟยาตลาเยอคุตล์ยังคงปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากหยุดชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง การปะทุครั้งนี้เกิดขึ้นที่ตรงกลางของธารน้ำแข็ง ทำให้อุทกภัยที่เกิดจากน้ำแข็งละลายไหลทะลักลงสู่แม่น้ำที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งอยู่ทั้งสองด้านของภูเขาไฟ และประชาชน 800 คนต้องถูกอพยพจากพื้นที่ ถนนตามแม่น้ำมาร์คาร์ปลีโยตถูกทำลายในหลายพื้นที่[22]
ไม่เหมือนกับการปะทุครั้งก่อนหน้า การปะทุครั้งที่สองเกิดขึ้นที่ใต้น้ำแข็งของธารน้ำแข็ง น้ำเย็นซึ่งเกิดจากการละลายของน้ำแข็งได้ทำให้ลาวาเย็นลงอย่างรวดเร็วและทำให้ลาวาที่แข็งตัวนั้นแตกกลายเป็นแก้ว ทำให้เกิดอนุภาคแก้วขนาดเล็กซึ่งถูกนำพาไปในพวยเถ้าถ่าน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ทำให้สายการบินที่ออกจากยุโรปและเข้ามายุโรปต้องปิดลงหลายวัน ประกอบกับขนาดของการปะทุ ซึ่งคาดกันว่ามีขนาดเป็น 10-20 เท่า ของการปะทุที่ฟิมม์เวอร์ดูเฮาลส์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ส่งผลให้เกิดพวยเถ้าถ่านซึ่งมีแก้วเจือปนในปริมาณสูงตกค้างในชั้นบรรยากาศระดับสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่ออากาศยาน[23]
ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553 การปะทุยังคงดำเนินต่อไป แต่การระเบิดลดลง โดยพวยเถ้าถ่านพุ่งขึ้นสูงขึ้นไปในอากาศ 5 กิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ 13 กิโลเมตร ของการปะทุครั้งที่ผ่านมา และไม่ขึ้นไปสูงพอที่ลมจะพัดพาไปทั่วทวีปยุโรป[24]
ในเช้าวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 มุมมองจากกล้องเว็บแคมที่ติดตั้งบนเนินโทโรลฟ์สเฟตล์ (Þórólfsfell)[25] แสดงให้เห็นเพียงกลุ่มไอน้ำล้อมรอบด้วยหมอกควันสีฟ้าที่เกิดจากการปล่อยก๊าซกำมะถัน เนื่องจากมีเถ้าภูเขาไฟแห้งจำนวนมากบนพื้นดิน ลมพื้นผิวจึงพัดพา "ละอองเถ้า" ฟุ้งขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งทำให้ทัศนวิสัยลดลงอย่างมาก และทำให้การสังเกตการณ์ภูเขาไฟด้วยกล้องเว็บแคมเป็นไปไม่ได้[26]
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ข้อมูลจากเครื่องบันทึกคลื่นไหวสะเทือนในพื้นที่ระบุว่าความถี่และความแรงของการสั่นสะเทือนของแผ่นดินลดลง แต่ยังคงดำเนินต่อไป[27]
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 อาร์มันน์ เฮิสกืล์ดซอน (Ármann Höskuldsson) นักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์โลกแห่งมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ ระบุว่า การปะทุสิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ แม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะยังมีความร้อนใต้พิภพอยู่ และอาจมีการปะทุขึ้นอีกครั้ง[28]
เถ้าภูเขาไฟเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่ออากาศยาน[29] ตำแหน่งของพวยเถ้าถ่านในปัจจุบันขึ้นอยู่กับสภาพของการปะทุและลม
การจราจรทางอากาศได้รับผลกระทบอย่างหนักภายหลังการปะทุครั้งที่สอง ในขณะที่เถ้าภูเขาไฟบางส่วนได้ตกลงสู่พื้นที่ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ของไอซ์แลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกพัดพาไปโดยลมตะวันตก อันส่งผลให้มีการปิดนานฟ้าบริเวณกว้างขวางในทวีปยุโรป ควันและเถ้าจากการปะทุลดทัศนวิสัยของการนำทางด้วยภาพ และกองเศษหินซึ่งเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นในเถ้าสามารถหลอมละลายในเครื่องยนต์หลอดของอากาศยาน ทำให้เครื่องยต์เสียหายและต้องปิดลง[23][29]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.