เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง
การตกเลือดเข้าสู่ช่องว่างใต้เยื่ออะแร็กนอยด์ / From Wikipedia, the free encyclopedia
เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (อังกฤษ: subarachnoid hemorrhage, SAH, ออกเสียง: /ˌsʌbəˈræknɔɪd ˈhɛm (ə) rɪdʒ/) คือการมีเลือดออกที่ช่องใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลางระหว่างเยื่อหุ้มสมองชั้นกลางกับชั้นในซึ่งอยู่รอบ ๆ สมอง อาจเกิดขึ้นได้เอง หรือจากการแตกของหลอดเลือดสมองโป่งพอง หรือเกิดจากอุบัติเหตุกระทบกระเทือนศีรษะก็ได้
เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Subarachnoid hemorrhage) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Subarachnoid haemorrhage |
ภาพซีทีสแกนแสดงให้เห็นเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง เห็นเป็นบริเวณสีขาวมีศรชี้กลางภาพ ซึ่งบ่งบอกว่ามีเลือดออกตรงกลางสมอง ไหลซึมไปยังร่องหยักของสมองทั้งสองข้าง | |
การออกเสียง | |
สาขาวิชา | ประสาทศัลยศาสตร์ |
อาการ | ปวดหัวเฉียบพลันรุนแรง, อาเจียน, ระดับการรู้สึกตัวลดลง[1] |
ภาวะแทรกซ้อน | เกิดสมองขาดเลือดขึ้นภายหลัง, หลอดเลือดหดตัวในสมอง, ชักs[1] |
ประเภท | ชนิดเกิดจากการบาดเจ็บ และ ชนิดเกิดขึ้นเอง (จากหลอดเลือดสมองโป่งพอง, จากไม่ใช่หลอดเลือดสมองโป่งพอง, เพริมีเซนเซฟาลิก)[1] |
สาเหตุ | การบาดเจ็บที่ศีรษะ, หลอดเลือดสมองโป่งพอง[1] |
ปัจจัยเสี่ยง | ความดันเลือดสูง, การสูบบุหรี่, การดื่มสุรา, การใช้โคเคน[1] |
วิธีวินิจฉัย | ซีทีสแกน, การตรวจน้ำไขสันหลัง[2] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ไมเกรน, ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำสมอง[3] |
การรักษา | การผ่าตัดหรือหัตถการอาศัยรังสี[1] |
ยา | ลาเบทาลอล, ไนโมดิปีน[1] |
พยากรณ์โรค | อัตราเสียชีวิตที่ 30 วัน อยู่ที่ 45% (ชนิดที่เกิดจากหลอดเลือดสมองโป่งพอง)[1] |
ความชุก | 1 ใน 10,000 ต่อปี[1] |
อาการของการมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลางอาจมีเช่นอาการปวดศีรษะรุนแรงเฉียบพลัน คลื่นไส้ อาเจียน สับสน หรือซึมลง บางครั้งอาจชักได้[4] ยืนยันการวินิจฉัยด้วยการใช้การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์หรือบางครั้งอาจทำได้ด้วยการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง การรักษาทำโดยการผ่าตัดอย่างทันท่วงที อาจด้วยการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะหรือการใช้รังสีช่วยในกระบวนการรักษา ร่วมกับการใช้ยาและการรักษาอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดเลือดออกซ้ำและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของการมีเลือดออก เคยมีการรักษาหลอดเลือดโป่งพองด้วยการผ่าตัดในช่วงประมาณหลังปี ค.ศ. 1930 แต่ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา การรักษาหลอดเลือดโป่งพองส่วนใหญ่ทำโดยวิธีรักษาที่รุกล้ำร่างกายน้อยกว่าอย่างการใช้ลวดขดซึ่งทำโดยการสอดลวดพิเศษเข้าไปทางหลอดเลือดขนาดใหญ่[4]
การมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลางเป็นโรคหลอดเลือดสมองอย่างหนึ่งซึ่งคิดเป็น 1–7% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด[5] ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้รุนแรงแม้จะได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ตาม ผู้ป่วยเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลางเกือบครึ่งนั้นเสียชีวิต และ 10–15% เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล[4] ผู้ที่รอดชีวิตนั้นก็มักมีความสูญเสียทางระบบประสาทหรือการรับรู้[6]