![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/fa/S._Bandaranaike_w_Polsce_%2528Sirimavo_cropped_far%2529.jpg/640px-S._Bandaranaike_w_Polsce_%2528Sirimavo_cropped_far%2529.jpg&w=640&q=50)
สิริมาโว พัณฑารนายกะ
นายกรัฐมนตรีซีลอน (ต่อมาคือประเทศศรีลังกา) ตั้งแต่ ค.ศ. 1960–65 ค.ศ. 1970–77 และ ค.ศ. 1994–2000 / From Wikipedia, the free encyclopedia
สิริมา รัตวัตเต ฑยัส พัณฑารนายกะ (อักษรโรมัน: Sirima Ratwatte Dias Bandaranaike, สิงหล: සිරිමා රත්වත්තේ ඩයස් බණ්ඩාරනායක; 17 เมษายน ค.ศ. 1916 – 10 ตุลาคม ค.ศ. 2000) หรือ จิริมา รัตวัตเต ฏยัส ปัณฏารนายักเก (ทมิฬ: சிறிமா ரத்வத்தே டயஸ் பண்டாரநாயக்கே) หรือที่รู้จักในชื่อ สิริมาโว พัณฑารนายกะ หรือ จิริมาโว ปัณฏารนายักเก (อักษรโรมัน: Sirimavo Bandaranaike, โดยคำลงท้ายว่า โว เป็นคำให้เกียรติแก่สตรี[1]) เป็นนักการเมืองชาวศรีลังกา ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีศรีลังกาสามสมัยใน ค.ศ. 1960-1965 (ในเวลานั้นคือรัฐซีลอน), สมัยที่สองใน ค.ศ. 1970 ถึง 1977 และสมัยที่สามในสาธารณรัฐศรีลังกา ระหว่างปี 1994 ถึง 2000 ภายใต้ประธานาธิบดีจัทริกา กุมารตุงคะ ซึ่งเป็นลูกสาวของเธอ การขึ้นมาดำรงตำแหน่งของเธอใน ค.ศ. 1960 ทำให้เธอเป็นสตรีคนแรกของโลกที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[2] เธอเป็นประธานพรรคเสรีภาพศรีลังกา (SLFP) ระหว่าง ค.ศ. 1960 ถึง 1994
สิริมาโว พัณฑารยนายะเก | |
---|---|
සිරිමාවෝ බණ්ඩාරනායක சிறிமா பண்டாரநாயக்கே | |
![]() พัณฑารยนายกะเมื่อ ค.ศ. 1963 | |
นายกรัฐมนตรีศรีลังกา | |
ดำรงตำแหน่ง 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 – 10 สิงหาคม ค.ศ. 2000 | |
ประธานาธิบดี | จันทริกา กุมารตุงคะ |
ก่อนหน้า | จันทริกา กุมารตุงคะ |
ถัดไป | รัตนสิริ วิกรมนายกะ |
ดำรงตำแหน่ง 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 – 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 | |
กษัตริย์ | เอลิซาเบธที่สอง (ค.ศ. 1970–1972) |
ประธานาธิบดี | วิลเลียม โคปาลวะ (ค.ศ. 1972–1977) |
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | วัลเลียม โคปาลวะ (ค.ศ. 1970–1972) |
ก่อนหน้า | ดูดลีย์ เสนานายกะ |
ถัดไป | เจ อาร์ ชยวรรฑนะ |
ดำรงตำแหน่ง 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1960 – 27 มีนาคม ค.ศ. 1965 | |
กษัตริย์ | เอลิซาเบธที่สอง |
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ |
|
ก่อนหน้า | ดูดลีย์ เสนานายกะ |
ถัดไป | ดูดลีย์ เสนานายกะ |
หัวหน้าฝ่ายค้านคนที่ 5 | |
ดำรงตำแหน่ง 9 มีนาคม 1989 – 24 มิถุนายน 1994 | |
นายกรัฐมนตรี |
|
ก่อนหน้า | อนุระ พัณฑารนายกะ |
ถัดไป | คามินี ทิสนายกะ |
ดำรงตำแหน่ง 5 เมษายน ค.ศ. 1965 – 25 มีนาคม ค.ศ. 1970 | |
นายกรัฐมนตรี | ดูดลีย์ เสนานายกะ |
ก่อนหน้า | ดูดลีย์ เสนานายกะ |
ถัดไป | เจ อาร์ ชยวรรฑณะ |
หัวหน้าพรรคเสรีภาพศรีลังกา | |
ดำรงตำแหน่ง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 | |
ก่อนหน้า | ซี พี เดอซิลวา |
ถัดไป | จัทริกา กุมารตุงคะ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | สิริมา รัตวัตตะ 17 เมษายน ค.ศ. 1916(1916-04-17) รัตนปุระ บริติชซีลอน |
เสียชีวิต | 10 ตุลาคม ค.ศ. 2000(2000-10-10) (84 ปี) กฑวฐา ประเทศศรีลังกา |
พรรคการเมือง | SLFP |
คู่สมรส | โซโลมอน พัณฑารยนายกะ (สมรส 1940; เสียชีวิต 1959) |
บุตร |
|
บุพการี |
|
ความสัมพันธ์ | ตระกูลพัณฑารนายกะ |
ในสมัยที่เธอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น แนวคิดเรื่องการมีสตรีเป็นผู้นำประเทศเป็นสิ่งที่ไม่มีในสาธารณชน[3] พันฑารนายกะช่วยสร้างภาพใหม่ให้แก่ความสามารถของสตรีในระดับสากล[4] นอกจากตัวเธอจะมีส่วนในรัฐบาลของศรีลังกาอย่างมากแล้ว ลูกของเธอก็มีส่วนอย่างมากในการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา ลูกของเธอทั้งสามมีตำแหน่งในรัฐบาลศรีลังกา[5][6][7][4][3] รัฐบาลโดยตระกูลพันฑารนายกะสามารถทำลายระบบชนชั้นวรรณะในศรีลังกาตลอดระยะเวลาหลายปี[1][5] ผ่านการบังคับใช้นโยบายสังคมนิยม[8][9]
ตลอดระยะเวลาสามสมัยของสิริมาโวในการเป็นนายกรัฐมนตรี เธอนำพาประเทศให้เปลี่ยนผ่านจากอดีตของการเป็นรัฐอาณานิคม สู่การเป็นสาธารณรัฐที่เป็นเอกราช ในระหว่างสงครามเย็น เธอนำศรีลังกาโดยใช้นโยบายสังคมนิยมซึ่งรวมถึงการรวบธุรกิจสำคัญของประเทศเป็นของรัฐ (nationalise) รวมถึงยังทำการปฏิรูปที่ดินซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนท้องถิ่น[3] ทั้งหมดนี้เธอมีเป้าหมายเพื่อทลายความโน้มเอียงทางการเมืองซึ่งเป็นใจให้แก่ชนชั้นนำที่ได้รับการศึกษามาแบบตะวันตก[4] เป้าหมายหลักประการหนึ่งในหลายนโยบายของเธอคือเพื่อลดความแตกต่างทางชนชั้นสังคมและความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในประเทศ[10] อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถตอบความต้องการของประชากรชาวทมิฬในประเทศได้เพียงพอ ซึ่งนำไปสู่การลุกฮือต่อต้านและกลายสภาพมาเป็นความรุนแรงในเวลาต่อมา[4] พัณฑารนายกะเป็นหนึ่งในผู้สถาปนาขบวนการไม่เลือกข้าง (Non-Aligned Movement)[3] เธอนำพาศรีลังกามามีบทบาทสำคัญในบรรดารัฐที่เสาะหาการเป็นกลางท่ามกลางอิทธิพลของรัฐมหาอำนาจ[11] เธอพยายามสร้างพันธมิตรกับบรรดาประเทศในกลุ่มประเทศโลกใต้[12] และพยายามแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการทางการทูต ตลอดจนต่อต้านการขยายตัวของการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear expansion)[13][10]