Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไอโฟน 6 (อังกฤษ: iPhone 6) และ ไอโฟน 6 พลัส (อังกฤษ: iPhone 6 Plus) เป็นสมาร์ตโฟนจอสัมผัส ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ (อังกฤษ: Operating System) ชื่อ iOS พัฒนาโดยบริษัทแอปเปิล ถือว่าเป็นไอโฟนรุ่นที่ 8 ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของไอโฟน 5เอส และ ไอโฟน 5ซี อุปกรณ์ชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไอโฟน โดยเปิดตัวออกสู่ตลาดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2014 iPhone 6 และ iPhone 6 พลัสได้มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่ารุ่นก่อนเช่นมีจอแสดงผลขนาดใหญ่ 4.7 นิ้วและ 5.5 นิ้ว มีหน่วยประมวลผลที่เร็วขึ้น มีกล้องที่ผ่านการอัปเกรดแล้ว มีการเชื่อมต่อแบบ LTE และ Wi-Fi ที่ดีขึ้น และสนับสนุนสำหรับการชำระเงินทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยการสื่อสารแบบใกล้สนาม (อังกฤษ: near-field communications)[12][13]
ภาพด้านหน้าไอโฟน 6 silver | |
รหัสชื่อ | N61 |
---|---|
ตราสินค้า | แอปเปิล |
ผู้พัฒนา | ฟ็อกซ์คอนน์, Pegatron (on contract)[1] |
ผู้ผลิต | ฟ็อกซ์คอนน์, Pegatron (on contract)[2] |
สโลแกน | "ใหญ่กว่าใหญ่" (อังกฤษ: Bigger than bigger)[3] |
ซีรีส์ | ไอโฟน |
เครือข่ายที่รองรับ | GSM, CDMA, 4G, EVDO, HSPA+, LTE |
เปิดตัวครั้งแรก | 19 กันยายน 2014 |
รุ่นก่อนหน้า | ไอโฟน 5เอส ไอโฟน 5ซี |
รุ่นถัดไป | ไอโฟน 6เอส และ ไอโฟน 6เอส พลัส |
รูปแบบ | สมาร์ตโฟน |
ลักษณะการออกแบบ | แท่ง |
ขนาด | ไอโฟน 6: ยาว 138.1 mm (5.44 in) กว้าง 67.0 mm (2.64 in) หนา 6.9 mm (0.27 in) ไอโฟน 6 พลัส: ยาว 158.1 mm (6.22 in) กว้าง 77.8 mm (3.06 in) หนา 7.1 mm (0.28 in) |
น้ำหนัก | ไอโฟน 6: 129 g (4.55 oz) ไอโฟน 6 พลัส: 172 g (6.07 oz) |
ระบบปฏิบัติการ | แรกเริ่ม: iOS 8.0 ปัจจุบัน: iOS 12.5.7, เปิดตัว 23 มกราคม ค.ศ. 2023 |
ระบบบนชิป | Apple A8 |
ซีพียู | 1.4 GHz dual-core ARMv8-A Cyclone 2nd gen. |
จีพียู | PowerVR Series 6 GX6450 (quad-core)[4] |
หน่วยความจำระบบ | 1 GB LPDDR3 RAM |
หน่วยความจำ | 16, 64 หรือ 128 จิกะไบต์ |
หน่วยความจำภายนอก | ไม่มี |
แบตเตอรี่ | 6: 1810 mAh[5] 6 Plus: 2915 mAh[6] |
การป้อนข้อมูล | Multi-touch touchscreen display, triple microphone configuration, Apple M8 motion coprocessor, 3-axis gyroscope, 3-axis accelerometer, digital compass, iBeacon, proximity sensor, ambient light sensor, Touch ID fingerprint reader, barometer |
จอแสดงผล | Retina HD Display, LED-backlit IPS LCD capacitive touchscreen, 16:9 อัตราส่วนลักษณะ, 500 cd/m2 max brightness (typical), and oleophobic coating 6: 4.7 in (120 mm) 1334x750 pixel resolution, 326 ppi pixel density, 1400:1 contrast ratio (typical)[7] 6 Plus: 5.5 in (140 mm) 1920x1080 pixel resolution, 401 ppi pixel density, 1300:1 contrast ratio (typical)[7] |
กล้องหลัง | Sony Exmor RS ISX014 [8][9][10] 8-MP with 1.5 focus pixels, True Tone Flash, autofocus, IR filter, Burst mode, f/2.2 aperture, 1080p HD video recording (30 fps or 60 fps), Slow-motion video (720p 120 fps or 240 fps), Timelapse, Panorama (up to 43 megapixels), Facial recognition, Stills while recording video 6: digital image stabilization 6 Plus: optical image stabilization[7] |
กล้องหน้า | front_camera = 1.2-MP (1280×960 px max.), 720p video recording (30 fps), Burst mode, f/2.2 aperture, Exposure control, Face detection, Auto-HDR |
ระบบเสียง | Stereo speakers, 3.5 mm stereo audio jack |
การเชื่อมต่อ | All models: models A1549 & A1522:
models A1586 & A1524
|
ความเข้ากันได้ของเครื่องช่วยฟัง | M3, T4 |
เว็บไซต์ | www |
ปริมาณการสั่งซื้อล่วงหน้าของไอโฟน 6 และไอโฟน 6 พลัสมีเกินกว่า 4 ล้านเครื่องภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการพร้อมจำหน่าย ซึ่งเป็นประวัติการณ์ของแอปเปิล[14] อุปกรณ์ของไอโฟน 6 และไอโฟน 6 พลัสมากกว่า 10 ล้านชิ้นได้รับการจำหน่ายไปในช่วงสามวันแรก ซึ่งเป็นอีกประวัติการณ์หนึ่งของแอปเปิล[15]
การออกแบบของ iPhone 6 ได้รับอิทธิพลจาก iPad Air ที่มีกระจกด้านหน้าโค้งรอบขอบจอแสดงผลและด้านหลังเป็นอะลูมิเนียมที่มีสองแถบพลาสติกสำหรับเสาอากาศ[16] ทั้งสองรุ่นมาในรูปของทอง เงิน และ "พื้นที่สีเทา" iPhone 6 และ iPhone 6 Plus บางกว่า iPhone 5S และ iPhone 5C โดยที่ iPhone 6 เป็นโทรศัพท์ที่บางที่สุดของแอปเปิ้ลในวันนี้ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของสายพันธ์ iPhone 6 อยู่ที่จอแสดงผลของมันเป็นแบบ "Retina HD Display" และ "แกร่งด้วยไอออน" จอแสดงผลของ iPhone 6 ขนาด 4.7 นิ้วในอัตราส่วนความสูงต่อความกว้างที่ 16:9 ความละเอียด 1334x750 (326 PPI ลบหนึ่งแถวพิกเซล) ในขณะที่ iPhone 6 พลัสมีจอแสดงผล 1920x1080 ขนาด 5.5 นิ้ว (1080p) (401 PPI) จอแสดงผลใช้แผง LCD แบบหลายโดเมน (อังกฤษ: multiple-domain LCD panel) ที่เรียกว่า "พิกเซลที่ประชันหลายโดเมน" (อังกฤษ: dual-domain pixels) นั่นคือ พิกเซล RGB เองจะโย้ในรูปแบบที่ให้ทุกพิกเซลสามารถเห็นได้จากหลายมุมที่แตกต่างกัน เทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มมุมในการมองของจอแสดงผล[17]
เพื่อรองรับขนาดทางกายภาพขนาดใหญ่ของสายพันธ์ iPhone 6 ปุ่มเปิดปิดเครื่องถูกย้ายไปอยู่ด้านข้างของตัวเครื่องแทนที่จะอยู่ด้านบนเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงของตัวมัน[12][13] iPhone 6 ใช้แบตเตอรี่แบบ 1,810 mAh ในขณะที่ iPhone 6 พลัสมีแบตเตอรี่แบบ 2,915 mAh ที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้อีกอย่างคือกล้องหลังไม่ได้เรียบราบไปกับด้านหลังของอุปกรณ์และมี "รอยนูน" เล็กน้อยรอบเลนซ์ มันใช้ชิปประมวลผลแบบ dual-core 1.4 GHz ไซโคลน (ARM v8-based)[18]
ทั้งสองรุ่นใช้ระบบบนชิปรุ่นแอปเปิ้ล A8 (อังกฤษ: Apple A8 system-on-chip) และชิปประมวลผลร่วมเพื่อการเคลื่อนไหวรุ่นแอปเปิ้ล M8 (อังกฤษ: Apple M8 motion co-processor) ซึ่งเป็นรุ่นอัปเดตของของชิปแอปเปิ้ล M7 จาก iPhone 5S
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างชิปประมวลผลร่วม M8 และ M7 เดิมคือ M8 ได้รวมบารอมิเตอร์ซึ่งเป็นตัววัดการเปลี่ยนแปลงระดับความสูงอีกด้วย นายฟิล ชิลเลอร์กล่าวว่าชิป A8 จะเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU (เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น 5 S) อีก 25% และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานกราฟิกอีก 50% และปล่อยความร้อนออกน้อย ในรายงานช่วงต้นชี้ว่าประสิทธิภาพของกราฟิก (อังกฤษ: Graphic Processing Unit (GPU)) ของรุ่น A8 อาจจะหนีออกไปจากรุ่นก่อนหน้านี้สองเท่าของผลการดำเนินงานในแต่ละรุ่นเป็นประจำทุกปี โดยทำคะแนน 21204.26 ใน Basemark X เมื่อเทียบกับ 20253.80, 10973.36 และ 5034.75 เมื่อเทียบกับ 5S, 5 และ 4S ตามลำดับ[19]
ทางด้านการสนับสนุนการส่อสารแบบ LTE มีการขยายมากขึ้นบนสายพันธ์ iPhone 6 ด้วยการสนับสนุนมากกว่า 20 แบนด์ของ LTE (7 แบนด์มากกว่า iPhone 5S)[20] ความเร็วในการดาวน์โหลดทำได้ถึง 150 Mbit/s และสนับสนุน VoLTE. ประสิทธิภาพการทำงานของ Wi-Fi ได้รับการปรับปรุงด้วยการสนับสนุนข้อกำหนด 802.11ac ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 433 Mbit/s ซึ่งจะเร็วกว่าถึง 3 เท่าของ 802.11n[20] มาพร้อมกับการสนับสนุนการโทรแบบ Wi-Fi (อังกฤษ: Wi-Fi Calling) ถ้ามีการให้บริการ
สายพันธ์ iPhone 6 เพิ่มการสนับสนุนสำหรับการสื่อสารที่อยู่ใกล้สนาม (อังกฤษ: near-field communications (NFC)) ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นการเฉพาะสำหรับแอปเปิ้ลเปย์ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินบนมือถือแบบใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดเก็บบัตรเครดิตของตัวเองไว้ในแอปสมุดบัญชีเงินฝากเพื่อใช้ชำระเงินแบบออนไลน์และการซื้อค้าปลีกด้วย NFC[21] การสนับสนุนการใช้งาน NFC จะถูกจำกัดเฉพาะกับแอปเปิ้ลเปย์เท่านั้นและไม่สามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆได้ (เช่นการแบ่งปันเนื้อหากับผู้ใช้ iPhone อื่น ๆ)[22]
ขณะที่ยังคงอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล กล้องหลังของ iPhone 6 ยังรวมเซ็นเซอร์จับภาพแบบใหม่ที่(เหมือนอย่างกล้องใน iPhone 5S) มีพิกเซลขนาด 1.5 ไมครอน มีเลนส์รูรับแสงแบบ f/2.2 และมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอขนาด 1080p ได้ทั้งแบบ 30 หรือ 60 เฟรมต่อวินาที กล้องยังรวมถึงออโต้โฟกัสแบบการตรวจสอบด้วยเฟส (อังกฤษ: phase detection autofocus)[23] นอกจากนี้กล้องยังสามารถบันทึกวิดีโอแบบภาพช้าที่ทั้ง 120 หรือ 240 เฟรมต่อวินาที กล้องของ iPhone 6 Plus เกือบทำงานได้เหมือนกัน แต่ยังรวมถึงเสถียรภาพภาพแสง (อังกฤษ: optical image stabilization) อีกด้วย[12][13] กล้องหน้าได้รับการปรับปรุงด้วยเซ็นเซอร์แบบใหม่และรูรับแสงแบบ f/2.2 พร้อมด้วยการสนับสนุนสำหรับโหมดการระเบิดและ HDR[12][13]
สายพันธ์ iPhone 6 จัดส่ง iOS 8 ใส่มาในเครื่องเลย ในขณะที่ iPhone 5S ส่งมากับ iOS 7 ที่มาในเครื่องเลยเช่นกัน แอปพลิเคชันจะสามารถใช้ประโยชน์จากขนาดหน้าจอที่เพิ่มขึ้นใน iPhone 6 และ 6 Plus เพื่อแสดงข้อมูลเพิ่มเติมบนจอ ตัวอย่างเช่นแอพจดหมายจะใช้รูปแบบ หน้าต่างสองหน้าซ้อนกันคล้ายกับของ iPad เมื่ออุปกรณ์อยู่ในโหมดแนวนอนบน iPhone 6 พลัส เมื่อมันใช้อัตราส่วนลักษณะ (อังกฤษ: aspect ratio) เหมือนกัน แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาสำหรับ iPhone 5, 5C และ 5S สามารถเพิ่มขนาดเพื่อใช้งานบน iPhone 6 และ 6 พลัสได้ เพื่อปรับปรุงการใช้งานของอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่และมี "ความสามารถในการเข้าถึง"เพิ่มเติม การสัมผัสปุ่ม Home สองครั้งจะเลื่อนครึ่งบนของเนื้อหาของหน้าจอลงไปครึ่งล่างของหน้าจอ ฟังก์ชันนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถไปที่ปุ่มต่างๆที่ตั้งอยู่ใกล้ด้านบนของหน้าจอเช่นปุ่ม "ย้อนกลับ" ในมุมบนด้านซ้าย[12][13]
iPhone 6 และ 6 พลัสได้รับผลกระทบจากปัญหาหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่นดังต่อไปนี้:
ไม่นานหลังจากที่ปล่อยออกสู่ตลาด ก็มีรายงานว่าตัวเครื่องของ iPhone 6 พลัสมีความเสี่ยงต่อการคดงอหากถูกกดทับเช่นเมื่อถูกเก็บไว้ในกระเป๋าคับ ๆ ของผู้ใช้ ในขณะที่ปัญหาดังกล่าวจะไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะกับ iPhone 6 พลัสเท่านั้น ข้อบกพร่องการออกแบบได้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ใช้สื่อสังคมว่าเป็น "bendgate."[24][25] การศึกษาโดย'รายงานผู้บริโภค'พบว่า iPhone 6 และ 6 พลัสทนทานมากกว่า HTC One เล็กน้อย แต่ทนทานน้อยกว่ามากเมื่อเทียบโทรศัพท์อื่น ๆ ที่ผ่านการทดสอบ[26]
แอปเปิ้ลตอบสนองต่อข้อกล่าวหาเรื่องการคดงอของตัวเครื่องโดยระบุว่าบริษัทได้รับข้อร้องเรียนเพียงเก้าเรื่องของอุปกรณ์คดงอและระบุว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้งานปกติเป็นเรื่องที่ "หายากมาก" บริษัทยืนยันว่า iPhone 6 และ 6 พลัสได้ผ่านการทดสอบความทนทานเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันจะทนทานสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน[27] บริษัทได้เสนอที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือที่คดงอให้ใหม่ถ้ามันถูกทดสอบแล้วว่าการคดงอก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตั้งใจ[24]
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2014 มีรายงานโดย Axel Telzerowm หัวหน้าบรรณาธิการของนิตยสารเทคโนโลยีของเยอรมันชื่อ Computer Bild ว่าหลังจากการโพสต์วิดีโอที่ผู้ดำเนินรายการสามารถดัด iPhone 6 พลัสให้คดงอได้ ตัวแทนของแอปเปิ้ลเยอรมนีแจ้งต่อสื่อสิ่งพิมพ์ว่าวิดีโอดังกล่าวจะถูกระงับในงานกิจกรรมของแอปเปิ้ลในอนาคตและนิตยสารที่นำเสนอวิดีโอจะไม่ได้รับอุปกรณ์สำหรับการทดสอบได้โดยตรงจากแอปเปิ้ลอีกต่อไป บริษัท Telzerowm ได้โต้ตอบว่า "เราขอแสดงความยินดีกับคุณสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ที่ดีของคุณ, แม้ว่าหนึ่งในพวกมันจะมีจุดอ่อนเล็กน้อยกับกรอบใส่ของมัน แต่เราผิดหวังอย่างมากเกี่ยวกับการขาดความเคารพของบริษัทของคุณ"[28]
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2014 ชุมชนแอปเปิล 9to5Mac โพสต์ข้อความอ้างว่าผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 พลัสบางคนได้บ่นบนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมว่าโทรศัพท์ฉีกผมของเขาเมื่อเขาถือโทรศัพท์ใกล้กับหูของเขาเมื่อมีการโทรเข้าหรือโทรออก[29] ข้อบกพร่องการออกแบบที่สองนี้ถูกเรียกว่า "hairgate" ผู้ใช้ทวิตเตอร์อ้างว่าตะเข็บระหว่างหน้าจอแก้วและอะลูมิเนียมด้านหลังของ iPhone 6 เป็นตัวสร้างปัญหาโดยไปจับกับผมที่เข้าไปข้างใน[30][31]
ผู้ใช้บางคนรายงานว่า iPhone 6 รุ่น 64 และ 128 GB และ iPhone 6 พลัสรุ่น 128 GB บางตัวมีประสบกับปัญหาด้านประสิทธิภาพเป็นกรณีที่หายากโดยมีการผิดพลาดและรีบูตแบบสุ่ม 'Business Korea' รายงานว่าปัญหาเกี่ยวข้องกับ NAND ที่ใช้เก็บข้อมูลแบบสามระดับ (อังกฤษ: triple-layer cell NAND) ของรุ่นที่ได้รับผลกระทบ เซลล์สามระดับสามารถเก็บข้อมูลได้สามบิตต่อเซลล์แฟลชและมีราคาถูกกว่าเซลล์แบบประชันระดับ (อังกฤษ: dual-layer cell) แต่ต้องสูญเสียความสามารถเป็นการแลกเปลี่ยน มีรายงานว่าแอปเปิ้ลได้วางแผนที่จะเปลี่ยนรูปแบบสายพันธ์ที่ได้รับผลกระทบกลับไปเซลล์แฟลชแบบหลายชั้น (อังกฤษ: multi-level cell) และจะแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพการทำงานบนอุปกรณ์ที่มีอยู่ใน iOS ที่จะมีการปรับปรุงในอนาคต[32][33][34]
มีรายงานว่าระบบการป้องกันภาพ Optical สั่นไหว (อังกฤษ: Optical image stabilization) ในบางรุ่นของ iPhone 6 Plus ทำงานผิดพลาด มันล้มเหลวในการสร้างความมั่นคงอย่างเหมาะสมในขณะที่โทรศัพท์ถูกถือไว้นิ่งๆอย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดภาพมัวและภาพวิดีโอเป็น "คลื่น"[35] ระบบการป้องกันภาพ Optical สั่นไหวนี้ยังพบว่าจะได้รับผลกระทบจากอุปกรณ์ที่ใช้แม่เหล็กเช่นสิ่งแนบเลนส์ของผู้ผลิตบุคคลที่สาม; แอปเปิ้ลได้ออกคำแนะนำให้กับผู้ใช้และผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมที่ได้รับใบอนุญาตของบริษัทโดยเตือนว่าอุปกรณ์แม่เหล็กหรือโลหะอาจทำให้ระบบ OIS ทำงานผิดปกติ[36]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.