![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/44/1967-07_1967%25E5%25B9%25B44%25E6%259C%258820%25E6%2597%25A5%25E5%258C%2597%25E4%25BA%25AC%25E5%25B8%2582%25E9%259D%25A9%25E5%2591%25BD%25E5%25A7%2594%25E5%2591%2598%25E4%25BC%259A%25E6%2588%2590%25E7%25AB%258B_%25E6%25B1%259F%25E9%259D%2592.jpg/640px-1967-07_1967%25E5%25B9%25B44%25E6%259C%258820%25E6%2597%25A5%25E5%258C%2597%25E4%25BA%25AC%25E5%25B8%2582%25E9%259D%25A9%25E5%2591%25BD%25E5%25A7%2594%25E5%2591%2598%25E4%25BC%259A%25E6%2588%2590%25E7%25AB%258B_%25E6%25B1%259F%25E9%259D%2592.jpg&w=640&q=50)
แก๊งออฟโฟร์
From Wikipedia, the free encyclopedia
แก๊งสี่คน หรือ แก๊งออฟโฟร์ (อังกฤษ: Gang of Four, จีนตัวย่อ: 四人帮; จีนตัวเต็ม: 四人幫; พินอิน: Sìrén bāng) เป็นฝ่ายการเมืองที่ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสี่คน พวกเขามีชื่อเสียงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966–1976) ผู้นำที่สำคัญของแก๊งคือ เจียง ชิง (ภรรยาคนสุดท้ายของประธานเหมา เจ๋อตุง) สมาชิกอีกสามคนคือ จาง ชุนเฉียว, เหยา เหวินหยวน และหวัง หงเหวิน[1]
แก๊งสี่คนได้ควบคุมอำนาจเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตลอดช่วงระยะสุดท้ายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม แม้ว่ามันจะยังไม่ชัดเจนว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญของเหมา เจ๋อตุงและการดำเนินการโดยแก๊งและเป็นผลมาจากการวางแผนของแก๊งสี่คน
แก๊งสี่คนร่วมกับนายพลหลิน เปียว ซึ่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1971 ถูกขึ้นชื่อว่าทั้งสองเป็นแกนนำที่สำคัญของ"กองกำลังต่อต้านการปฏิวัติ"ของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมและถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลจีนสำหรับความโกลาหลทางสังคมที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงสิบปีแห่งความโกลาหล พวกเขาได้ล่มสลายลงในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1976 เพียงหนึ่งเดือนภายหลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของประธานเหมา ทำให้มีการเฉลิมฉลองครั้งสำคัญบนถนนในกรุงปักกิ่งและถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคการเมืองที่แสนจะวุ่นวายในประเทศจีน การล่มสลายของพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธถึงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเช่นนี้ มันถูกจัดระเบียบใหม่โดยผู้นำคนใหม่ นายกรัฐมนตรี ฮั่ว กั๋วเฟิง และคนอื่นๆ ที่เถลิงอำนาจขึ้นในช่วงเวลานั้น การปฏิเสธอย่างมีนัยสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดขึ้นมาภายหลัง ด้วยการกลับมาของเติ้ง เสี่ยวผิงที่การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 11[2] และฮั่วก็ค่อย ๆ สูญเสียอำนาจไป[3]