เหตุยิงกันในออโรรา ค.ศ. 2012
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เหตุยิงกันในออโรรา ค.ศ. 2012 เกิดขึ้นในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) มีมือปืนเปิดฉากยิงใส่ผู้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rises (แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด) รอบปฐมทัศน์เที่ยงคืน ที่โรงภาพยนตร์ซินิมาร์ก (Cinemark) ในเมืองออโรรา รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน และบาดเจ็บอีก 58 คน มือปืนสวมชุดเกราะกันกระสุนทั้งตัว และลงมือคนเดียวโดยเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์และปล่อยระเบิดแก๊สน้ำตา จากนั้นจึงเปิดฉากยิงใส่ผู้ชมภาพยนตร์ด้วยอาวุธปืนหลายประเภท หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสามารถจับกุมมือปืนได้หลังโรงภาพยนตร์โดยมือปืนชื่อ นายเจมส์ อีแกน โฮมส์ เป็นนักศึกษาปริญญาเอกอายุ 24 ปี การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ยิงกันที่มีเหยื่อ (รวมผู้บาดเจ็ดและผู้เสียชีวิต) มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา[5]
เหตุยิงกันในออโรรา ค.ศ. 2012 | |
---|---|
โรงภาพยนตร์เซ็นจูรี 16 ที่ใจกลางเมืองออโรรา | |
ล่างซ้าย: แผนที่ของรัฐโคโลราโดกับเมืองเดนเวอร์ มีวงกลมเน้นที่เมืองออโรรา บน: แผนที่บริเวณกลางเมืองออโรรา ล่างขวา: ห้างสรรพสินค้าออโรราทาวน์เซนเตอร์และโรงภาพยนตร์เซนจูรี 16 | |
สถานที่ | 14300 ถนน อี. แอละเมดา ออโรรา, โคโลราโด, สหรัฐอเมริกา[1] |
พิกัด | 39.7059°N 104.8206°W |
วันที่ | 12:38, 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 (UTC-06:00) |
ประเภท | การสังหารหมู่ |
อาวุธ | |
ตาย | 12 |
เจ็บ | 58[4] |
การกราดยิงเกิดขึ้นที่โรงภาพยนตร์โรงที่ 9 ในโรงภาพยนตร์เซนจูรีซิกซ์ทีน (Century 16) ที่อยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าทาวน์เซนเตอร์แอตออโรรา (Town Center at Aurora) ผู้ลงมือซื้อตั๋วภาพยนตร์แล้วเดินเข้าไปในโรง 9 แล้วเดินออกไปยังทางออกฉุกเฉิน เปิดประตูทิ้งไว้ เพื่อไปหยิบปืน และเปลี่ยนชุดจากรถที่จอดอยู่ใกล้ประตูทางออกพร้อมกับเอาอาวุธจากรถของเขาที่จอดอยู่หลังทางออก[6] หลังจากที่ภาพยนตร์ฉายไปประมาณครึ่งชั่วโมง[7] คนร้ายจึงกลับเข้ามาในโรงภาพยนตร์ โดยใส่ชุดสีดำ พร้อมหมวกเหล็กกันกระสุน เสื้อกั๊กบรรจุสัมภาระ ปลอกคอป้องกัน สนับขากันกระสุน เล็กกิ้งกันกระสุน กระจับ หน้ากากกันแก๊ส และถุงมือทางยุทธวิธี ตามคำพูดของแดน โอตส์ ผู้บัญชาการตำรวจเมืองออโรรา[1][8][9][10] ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่เห็นมือปืนเป็นอันตรายในตอนแรกเมื่อเขาเดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์ เนื่องจากเขาสวมชุดที่ดูเป็นเครื่องแบบ ซึ่งก็มีผู้ชมคนอื่นที่แต่งตัวในลักษณะคล้ายกันเพื่อมาชมภาพยนตร์ จึงคิดกันว่ามือปืนคนนี้แค่แกล้งทำเฉยๆ จนกระทั่งเขาปล่อยระเบิดแก๊สออกมา แล้วเริ่มยิงปืน[7] แต่แม้ถึงตอนนั้น ก็ยังมีผู้ชมบางคนที่คิดว่ามือปืนกำลังทำการโปรโมตภาพยนตร์ และการยิงปืนคือการใช้สเปเชียลเอฟเฟคเพื่อโปรโมตหนังในรอบปฐมทัศน์ของทางผู้ผลิตหรือของทางโรงภาพยนตร์เอง[11]
การโจมตีเริ่มขึ้นเวลา 00.38 น. มือปืนเปิดการโจมตีด้วยการปากระป๋องที่ปล่อยแก๊สหรือควันที่บดบังทัศนวิสัยของผู้ชมภาพยนตร์ ทำให้พวกเขาเกิดอาการคันคอและผิวหนัง และทำให้ตาระคายเคือง[12] แล้วเขาก็ใช้ปืนลูกซองเรมิงตัน โมเดล 870 ขนาด 12 เกจยิงขึ้นไปบนเพดานก่อนที่จะยิงผู้ชม และยังใช้ปืนเล็กยาวสมิธแอนด์เวสสัน เอ็มแอนด์พี 15[13] ที่มีซองกระสุนรูปกล่องขนาด 100 นัด ในการยิงด้วยแต่อาวุธเกิดขัดลำกล้องหลังจากที่ยิงไปประมาณ 30 นัด[13][14][15] อาวุธสุดท้ายที่เขาใช้คือปืนพกกล็อก 22ลำกล้องขนาด .40[16] โดยยิงไปที่หลังโรง ก่อนจะยิงใส่คนที่อยู่ระหว่างแถวที่นั่ง[11] มีกระสุนบางนัดเจาะทะลุผนังโรงออกไปโดนผู้ชมในโรง 8 ที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังฉายภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน[6] พยานให้การว่าหลังการโจมตีเกิดขึ้นไม่นาน สัญญาณเตือนภัยของโรงภาพยนตร์ก็ดังขึ้น และมีพนักงานบอกให้ผู้ชมในโรง 8 ทำการอพยพ[17] พยานอีกคนหนึ่งกล่าวว่าเธอไม่กล้าออกไปเพราะมีคนตะโกนเตือนไม่ให้ออกไป เพราะคนร้ายอยู่ในล็อบบี้[18]
มีโทรศัพท์ที่โทรไปแจ้งเหตุฉุกเฉินสายแรกเวลา 00.39 น. ตำรวจมาถึงในอีก 90 วินาทีต่อมา[19]และทำการจับกุมผู้ต้องหาได้เวลา 00.45 น.[20] และพบซองกระสุนปืนพกขนาด .40 อย่างน้อย 3 ซอง, ปืนลูกซอง 1 กระบอกและซองกระสุนรูปกล่อง 1 ซองอยู่บนพื้นในโรงภาพยนตร์[21] มีผู้อยู่ในเหตุการณ์บางคนรายงานเหตุยิงกันผ่านทวิตเตอร์และเอสเอ็มเอสแต่ไม่ได้แจ้งตำรวจ[14] ตำรวจชุดแรกที่ไปถึงที่เกิดเหตุบางส่วนตัดสินใจไม่รอรถพยาบาลและนำผู้บาดเจ็บไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนด้วยรถสายตรวจ[22]
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายโฮมส์ในเวลา 00.45 น.[20] บริเวณหลังโรงภาพยนตร์ข้างๆ รถของเขาเอง อย่างไม่มีการขัดขืน องค์กรรักษากฎหมายจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สององค์กรบอกกับเอบีซีนิวส์ว่าผู้ต้องสงสัยทำผมสีแดง และเรียกตัวเองว่า "โจ๊กเกอร์"[23] ตัวร้ายในเรื่องแบทแมน แต่ต่อมาทางการปฏิเสธที่จะยืนยันเรื่องนี้ สามวันต่อมา นายโฮมส์ปรากฏตัวในศาลเป็นครั้งแรกที่เมืองเซ็นเท็นเนียล รัฐโคโลราโด ในผมสีส้มอมแดง[24][25][26] เจ้าหน้าที่ตำรวจพบอาวุธหลายกระบอกภายในรถของผู้ต้องหา รวมถึงปืนพกกล็อก 22 อีกหนึ่งกระบอก[27][28] หลังเกิดเหตุ โฮมส์ถูกควบคุมตัวในสถานกักกันอะแรพาโฮเป็นการชั่วคราว ภายใต้การเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย[29] ตำรวจทำการสอบปากคำพยานกว่า 200 คนที่อยู่ในเหตุการณ์[30] ตำรวจฝ่ายสืบสวนเชื่อว่ามือปืนลงมือด้วยตัวเอง และไม่ได้มีส่วนในขบวนการก่อการร้ายใดๆ[19] ผู้ต้องหาชื่อเจมส์ อีแกน โฮมส์ โดย 60 วันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ยิง โฮมส์ซื้อกระสุนมากว่า 6,000 นัด[31][32]โดยทั้งอาวุธและกระสุนที่ใช้ในการยิงครั้งนี้ โฮมส์ซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยซื้อปืนจากร้านปืนท้องถิ่น และซื้อกระสุนจากอินเทอร์เน็ต[33][34]
มีผู้ถูกยิงทั้งหมด 70 คน เสียชีวิต 12 คน และได้รับบาดเจ็บ 58 คน ซึ่งยอดนี้ถือเป็นยอดผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา[5] และยังเป็นเหตุยิงกันที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดตั้งแต่การสังหารหมู่ที่โรงเรียนโคลัมไบน์ไฮสคูลใน ค.ศ. 1999 มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 10 คน และอีก 2 คนเสียชีวิตระหว่างการรักษาที่โรงพยาบาล รายนามผู้เสียชีวิตมีดังต่อไปนี้
แอชลีย์ โมเซอร์ แม่ของเวโรนิกา โมเซอร์-ซัลลิแวน และกำลังอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสและแท้งบุตรหนึ่งสัปดาห์หลังเกิดเหตุ[35]
ผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเด็กโคโลราโด, ศูนย์การแพทย์เดนเวอร์เฮลท์, ศูนย์การแพทย์ออโรรา, โรงพยาบาลพาร์เกอร์แอดเวนทิสต์, ศูนย์การแพทย์โรส, โรงพยาบาลสวีดิชและโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคโลราโด และยังมีการตั้งจุดรักษาพยาบาลชั่วคราว ณ บริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวไปยังโรงเรียนไฮสคูลเกตเวย์เพื่อสอบปากคำ อายุของเหยื่อมีตั้งแต่ 3 ปีไปจนถึง 51 ปี[36][37] ในวันที่ 25 กรกฎาคม โรงพยาบาล 3 แห่งที่ทำการรักษาผู้บาดเจ็บประกาศว่าจะทำการกำหนดเพดานค่ารักษาพยาบาลหรือยกหนี้ให้ทั้งหมด[38]
มูลนิธิคอมมิวนิตีเฟิร์สรวบรวมเงินได้กว่า 5 ล้านดอลลาร์เป็นทุนให้กับเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อ[39] ในเดือนกันยายน เหยื่อและครอบครัวของเหยื่อได้รับแบบสอบถามเกี่ยวกับวิธีกระจายทุนที่ต้องการ ระหว่างการแบ่งให้เหยื่อทุกคนเท่าๆ กัน หรือได้ตามการประเมินความจำเป็น[40]
เจมส์ โฮมส์ | |
---|---|
เกิด | เจมส์ อีแกน โฮมส์[6] 13 ธันวาคม ค.ศ. 1987[41] แซนดีเอโก, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา |
สัญชาติ | อเมริกัน |
การศึกษา | วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาประสาทวิทยาศาสตร์ |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตริเวอร์ไซด์ มหาวิทยาลัยโคโลราโด เดนเวอร์ (ไม่สำเร็จการศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิต) [42] |
มีชื่อเสียงจาก | ผู้ต้องหาคดีเหตุยิงกันในออโรรา ค.ศ. 2012 |
ถูกกล่าวหา | ฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 24 กระทง พยายามฆ่า 140 กระทง ครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย 1 กระทง เพิ่มโทษเนื่องจากเป็นอาชญากรรมที่มีความรุนแรง[43] |
รับโทษ | ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต 12 ครั้งโดยไม่สามารถขอทัณฑ์บน และจำคุกเพิ่มอีก 3,318 ปี[44][45][46] |
สถานะทางคดี | จำคุก |
มือปืนผู้ต้องหาชื่อ เจมส์ อีแกน โฮมส์ (อังกฤษ: James Eagan Holmes) เกิดวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1987 และเติบโตขึ้นมาในชุมชนแรนโชเพนญาสควิโทส เมืองแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย[41][31] สำเร็จการศึกษาระดับไฮสกูลจากโรงเรียนไฮสกูลเวสต์วิวในชุมชนทอร์รีย์ไฮแลนส์ เมืองแซนดีเอโก ในปี 2006[47][48] ต่อมา เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง[49][50] ในสาขาวิชาประสาทวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตริเวอร์ไซด์ ในปี 2010[51] แล้วจึงเข้าสมัครเป็นนักศึกษาในระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาเดียวกันที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด วิทยาเขตการแพทย์แอนสชุตซ์ ที่เมืองออโรรา ซึ่งเขาได้รับทุนจากรัฐบาลกลางและเป็นหนึ่งในนักศึกษาเพียง 6 คนที่ได้รับทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ[52] ในปี 2012 ผลการเรียนของเขาตกต่ำลงและเขาทำคะแนนได้ไม่ดีในการสอบความเข้าใจ[42] แม้ว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้มีแผนที่จะปลดเขาออกจากความนักศึกษา แต่โฮมส์ก็ได้ดำเนินการ และกำลังอยู่ในกระบวนการถอนวิชาออกจากวิทยาลัย[53] โฮมส์ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน[54]
สื่อต่างๆ รายงานว่าพวกเขาพบร่องรอยในอินเทอร์เน็ตของโฮมส์น้อยมาก นอกจากอีเมลของมหาวิทยาลัยและรูปเก่าในมายสเปซเท่านั้น[55]
มีการค้นพบว่าไม่ถึงเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ โฮมส์สมัครเป็นสมาชิกที่สนามยิงปืนแห่งหนึ่ง โดยเจ้าของสนามยิงปืนเคยโทรหาโฮมส์และได้ยินเสียงฝากข้อความที่มีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องแบทแมน[56]
ในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 โฮมส์ พร้อมกับผมย้อมสีส้มอมแดง ปรากฏตัวต่อในศาลที่เมืองเซนเทนเนียล, โคโลราโด[57] ต่อหน้าผู้พิพากษาวิลเลียม บี. ซิลเวสเตอร์[58] โฮมส์ได้รับฟังสิทธิ์ของผู้ต้องหา[59]และไม่ได้ขอประกันตัว[60] ผู้พิพากษาออกคำสั่งคุ้มครอง[61]และแต่งตั้งทนายของรัฐให้กับผู้ต้องหา[59] ระหว่างการปรากฏตัวในศาล โฮมส์ไม่พูดอะไรและไม่มองหน้าผู้พิพากษา มองแต่เอกสารที่เขากำลังถืออยู่ เหม่อมองไปข้างหน้า[58] และมีสีหน้าท่าทางมึนงง[60]
ในวันที่ 30 กรกฎาคม อัยการรัฐโคโลราโดยื่นข้อกล่าวหานายโฮมส์ต่อศาล โดยตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 24 กระทงและข้อหาพยายามฆ่า 116 กระทง พร้อมทั้งยังยื่นข้อกล่าวหาสองข้อหาดังกล่าวแทนเหยื่อแต่ละคนเพื่อเพิ่มโอกาสในการพิพากษาลงโทษ[62] ผู้พิพากษาศาลเขตแห่งรัฐโคโลราโด วิลเลียม บี. ซิลเวสเตอร์ ผู้พิจารณาคดี ได้ออกคำสั่งศาลไม่ให้ทนายความและตำรวจเปิดเผยข้อมูล, ปกปิดบันทึกศาลเป็นความลับ และห้ามมหาวิทยาลัยโคโลราโดเปิดเผยข้อมูลสาธารณะที่เกี่ยวกับประวัติของโฮมส์ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่นั่น องค์กรสื่อต่างๆ คัดค้านผู้พิพากษาให้ยกเลิกการปกปิดบันทึกศาล[63]
ในวันที่ 9 สิงหาคม ทนายความของโฮมส์กล่าวว่าโฮมส์เป็นผู้ป่วยทางจิต และฝ่ายจำเลยต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อประเมินลักษณะความผิดปกติทางจิต คำกล่าวนี้ได้รับการเปิดเผยในการพิจารณาคดีที่เซนเทนเนียล, โคโลราโด เมื่อองค์กรสื่อขอให้ผู้พิพากษายกเลิกการปกปิดบันทึกศาลในกรณีนี้[64] ในวันที่ 24 สิงหาคม ฝ่ายโจทก์กล่าวหาว่านายโฮมส์บอกกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนว่าเขาอยากฆ่าคน ก่อนเกิดเหตุ 4 เดือน[65]
ในวันที่ 30 สิงหาคม ผู้พิพากษาสั่งให้สมุดบันทึกของโฮมส์ (ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าเขาเขียนอธิบายการโจมตีไว้) ได้รับความคุ้มครองจากสิทธิ์ของแพทย์-ผู้ป่วย ในระหว่างที่โฮมส์ปรึกษากับจิตแพทย์ ทำให้หลักฐานนี้ใช้การไม่ได้ในศาล นอกจากอาการผิดปกติทางจิตของโฮมส์จะเป็นประเด็นขึ้นมาในคดี ในวันที่ 20 กันยายน ฝ่ายโจทก์จึงถอนคำขอตรวจสอบสมุดบันทึก[66] ด้วยเหตุที่นายโฮมส์พยายามฆ่าตัวตาย ผู้พิพากษาซิลเวสเตอร์จึงเลื่อนการพิจารณาคดีไปจนเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012
ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 อัยการและทนายความฝ่ายจำเลยกลับมาที่ศาลอีกครั้งเพื่อฟังการไต่สวนขั้นต้น[67] ในระหว่างการไต่สวน มีการรายงานว่าพนักงานสืบสวนพบขวดยาตามใบสั่งแพทย์ 4 ขวดและประวัติการก่อภูมิคุ้มกันจากอพาร์ตเมนท์ของโฮมส์ ที่ถูกตรวจค้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 ไม่มีการเปิดเผยว่าแพทย์สั่งยาอะไร แต่ผู้พิพากษาตัดสินตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ว่าโจทย์สามารถเก็บหลักฐานนี้ได้[68]
ในวันที่ 27 มีนาคม ทนายความฝ่ายจำเลยยื่นข้อเสนอให้โฮมส์รับผิด เพื่อแลกกับการที่ฝ่ายโจทก์ตกลงที่จะไม่ขอให้มีการลงโทษประหารชีวิต[69] ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน ฝ่ายโจทย์ประกาศว่าจำเลยปฏิเสธข้อเสนอ โดยอัยการเขตอะแรพาโฮเคาน์ตี จอร์จ บร็อกเลอร์ ประกาศว่า "ตั้งใจและต้องการให้เจมส์ อีแกน โฮมส์ได้รับโทษประหารชีวิต"[70]
เมื่อถูกจับกุม นายโฮมส์บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีระเบิดอยู่ในที่พักของเขา ที่อยู่ทางตอนเหนือของออโรรา[31] ตำรวจจึงทำการเข้าไปตรวจสอบบ้านของผู้ต้องหา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไป 8 กิโลเมตร[71] โดยเข้าไปตรวจด้วยความระมัดระวังว่าอาจมีระเบิด[9] อาคารอพาร์ทเมนต์[72] ที่ผู้ต้องหาอยู่อาศัยเป็นอาคารที่มีให้เฉพาะนักศึกษา คนไข้ และเจ้าหน้าที่ของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคโลราโดเท่านั้น[31] เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่า โฮมส์บอกกับตำรวจว่าเขาได้ทำการวางกับระเบิดไว้ในอพาร์ตเมนต์ของตัวเองก่อนที่จะเดินทางไปโรงภาพยนตร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจัดการอพยพคนออกจากอาคาร 5 อาคารที่อยู่ข้างเคียงและทำการเคลียร์บริเวณ[54] เจ้าหน้าที่เอฟบีไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้บันไดเพื่อขึ้นไปยังห้องพักของโฮมส์ ซึ่งพวกเขาใช้เสาติดกล้องเพื่อตรวจสอบห้อง และยืนยันคำพูดของโฮมส์ เนื่องจากห้องพักดังกล่าวมีกับระเบิดอยู่เต็มห้อง[73] โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายลักษณะของระเบิดที่พบว่ามีความซับซ้อนมาก[74] ก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณเที่ยงคืน ผู้อาศัยอยู่ใต้ห้องของโฮมส์ได้ยินเสียงเพลงดัง ดังมาจากห้องของโฮมส์ จนผู้อาศัยหญิงคนหนึ่งไปเคาะประตูแล้วบอกว่าจะแจ้งตำรวจ เธอพบว่าประตูไม่ได้ล็อก แต่เลือกที่จะไม่เปิด เธอโทรไปแจ้งตำรวจเรื่องเสียงดังรบกวน แต่ในตอนนั้นเกิดเหตุยิงกันขึ้นพอดี ตำรวจจึงไม่ได้ตอบสนองต่อการโทรแจ้งนี้ หลังเกิดเหตุ เมื่อเธอทราบว่าในห้องมีกับระเบิดอยู่ เธอจึงกล่าวว่า "ฉันกลัวว่าถ้าฉันเปิดประตู ฉันอาจจะทำให้เกิดระเบิดไปแล้ว"[75][76]
หนึ่งวันหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ก็สามารถปลดลวดสะดุดระเบิดและอุปกรณ์ระเบิดได้บางส่วน[77] โดยใช้ตะขอเกี่ยวและรถติดบันไดของตำรวจดับเพลิง เพื่อเปิดทางให้คนหรือหุ่นยนต์สามารถเข้าไปในห้องพักได้[78] ตำรวจฝ่ายสืบสวนทำการเก็บหลักฐานต่างๆ ในห้องพักของผู้ต้องหา และพบสิ่งของหลายๆ อย่างซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงหน้ากากแบทแมน โดยตำรวจเก็บหลักฐานจากห้องพักของเขาเสร็จแล้ว แต่ยังไม่อนุญาตให้ผู้อาศัยกลับเข้าไปในอาคารเนื่องจากกลัวอันตรายที่เกิดจากสารเคมี[79] เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่าพบหน้ากากแบทแมนภายในอพาร์ทเมนต์[80] ในวันที่ 23 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมหลักฐานในอพาร์ทเมนต์เสร็จ[81] และอนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยกลับเข้าไปอาศัยในอีก 2 วันต่อมา[82]
ในค่ำหลังเกิดเหตุการณ์ มีการรวมตัวเพื่อจุดเทียนไว้อาลัย ณ จุดเกิดเหตุ ในรัฐโคโลราโด[83] นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แสดงความเสียใจต่อเหยื่อในเหตุการณ์และครอบครัวของเหยื่อ และสั่งให้ลดธงลงครึ่งเสาในอาคารของรัฐบาลเพื่อไว้อาลัยให้เหยื่อจนวันที่ 25 กรกฎาคม[84] ทีมหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2012 ทั้งของนายบารัค โอบามาจากพรรคเดโมแครต และนายมิตต์ รอมนีย์ คู่ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน ต่างก็หยุดการโฆษณาหาเสียงทางโทรทัศน์ในรัฐโคโลราโดเป็นการชั่วคราว[85][86] ในวันที่ 22 กรกฎาคม นายโอบามาเข้าพบกับเหยื่อ และเจ้าหน้าที่ทั้งในระดับท้องถิ่นและรัฐ และยังกล่าวคำปราศรัยผ่านทางโทรทัศน์ทั่วประเทศจากเมืองออโรราอีกด้วย[87][88] นอกจากนี้ ผู้นำของประเทศต่างๆ ได้ส่งข้อความแสดงความใจต่อสหรัฐฯ รวมไปถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร[89], ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฟร็องซัว ออล็องด์[90], นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู[91], ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีมีร์ ปูติน[92] และสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16[93]
วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ผู้จำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rises กล่าวว่าพวกเขาเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบริษัทได้ทำการยกเลิกรอบปฐมทัศน์กาลาพรีเมียร์ในปารีส, เม็กซิโกและญี่ปุ่น[94][95] และลดขนาดการทำการตลาดของภาพยนตร์เรื่องนี้ในฟินแลนด์[96][97] และตัดสินใจที่จะไม่รายงานรายได้ของภาพยนตร์จนกระทั่งวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2012[98] สตูดิโอผลิตภาพยนตร์ค่ายอื่นก็ตัดสินใจไม่เปิดเผยรายได้จากการชมภาพยนตร์ในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 เช่นกัน[99] มีการรายงานว่าวอร์เนอร์ บราเธอร์สจะทำการบริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับมูลนิธิคอมมิวนิตีเฟิร์สในโคโลราโดเพื่อมอบให้กับเหยื่อจากเหตุยิงกัน[100]
คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับภาพยนตร์ พูดในนามของนักแสดงและทีมงานโดยกล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ป่าเถื่อน" และ "ร้ายแรงเป็นอย่างมาก"[101] คริสเตียน เบล ผู้แสดงเป็นแบทแมน เข้าเยี่ยมเหยื่อเป็นการส่วนตัวในวันที่ 24 กรกฎาคม[102] ฮานส์ ซิมเมอร์ ผู้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ The Dark Knight Rises ได้ทำการบันทึกเพลงประสานเสียงชื่อว่า "Aurora" เพื่อเป็นเกียรติให้กับเหยื่อในเหตุการณ์[103] โฆษณาทางโทรทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องนี้บางตัวถูกยกเลิก[104] นอกจากนี้ วอร์เนอร์ บราเธอร์สยังขอให้โรงภาพยนตร์หยุดฉายตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Gangster Squad ที่ฉายก่อนภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rises ไปแล้วในบางเมืองในสหรัฐอเมริกา (แต่ไม่เคยฉายในออโรรา)[105] เนื่องจากมีฉากหนึ่งที่มีการสังหารหมู่ผู้ชมในโรงภาพยนตร์ด้วยอาวุธอัตโนมัติ[106][107] ภาพยนตร์ Gangster Squad ถูกเลื่อนกำหนดออกฉายไปถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 โดยฉากในโรงภาพยนตร์ถูกแทนที่ด้วยฉากใหม่ที่เกิดขึ้นในสถานที่อื่น[108]
ซินีมาร์ค บริษัทที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ตกลงที่จะจ่ายค่าทำศพให้กับครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต ในส่วนที่กองทุนชดเชยเหยื่อจากอาชญากรรมไม่ได้คุ้มครอง[109] ซินีมาร์คปิดโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ เซ็นจูรี ออโรรา 16 หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ และเปิดทำการใหม่อีกครั้งในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2013 โดยมีนายสตีฟ โฮแกน นายกเทศมนตรีเมืองออโรราเป็นประธานในพิธีเปิด[110]
ไม่นานหลังเกิดเหตุการณ์ กรมตำรวจในบางเมืองและโรงภาพยนตร์บางแห่งทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา[111]เพิ่มการรักษาความปลอดภัยที่โรงภาพยนตร์เนื่องจากกลัวเกิดการลอกเลียนแบบ[112][113] ในนครนิวยอร์ก มีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปดูแลโรงภาพยนตร์ที่ฉายภาพยนตร์เรื่องใหม่[114] สมาคมเจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติส่งรายการตรวจสอบจากกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิให้กับสมาชิกและกล่าวในแถลงการณ์วันที่ 21 กรกฎาคมว่า "สมาชิกสมาคมกำลังทำงานกับหน่วยงานรักษากฎหมายท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด และกำลังตรวจสอบขั้นตอนการรักษาความปลอดใหม่ใหม่"[115][116] เครือโรงภาพยนตร์เอเอ็มซีประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้ผู้ชมแต่งชุดที่ทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ และจะไม่อนุญาตให้นำหน้ากากหรืออาวุธปลอมเข้าไปในโรงภาพยนตร์อีกต่อไป[117]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.