Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปีศาจทะเลทราย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Welwitschia mirabilis) เป็นพืชเมล็ดเปลือยที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายนามิบ ในประเทศนามิเบียและแองโกลา เป็นสมาชิกเพียงชนิดเดียวของสกุล Welwitschia วงศ์ Welwitschiaceae และอันดับ Welwitschiales มีลักษณะสำคัญคือ เป็นพืชทนแล้ง มีลำต้นสั้น รากแก้วหยั่งลึกลงใต้ผิวดิน ไม่มีการเจริญเติบโตทางยอด มีใบรูปแถบจำนวน 2 ใบ ที่สามารถเจริญได้อย่างต่อเนื่องจากเนื้อเยื่อเจริญส่วนฐานที่สองข้างของลำต้น และสามารถมีอายุได้มากกว่า 1,000 ปี[3] เป็นพืชที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพืชเมล็ดเปลือยอีก 2 สกุล คือ สกุลมะเมื่อย (Gnetum) และสกุลมาฮวง (Ephreda)
เวลวิชเซีย | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Gnetophyta |
ชั้น: | Gnetopsida |
อันดับ: | Welwitschiales |
วงศ์: | Welwitschiaceae |
สกุล: | Welwitschia nom. cons. |
สปีชีส์: | W. mirabilis |
ชื่อทวินาม | |
Welwitschia mirabilis Hook.f. | |
พื้นที่การกระจายพันธุ์ | |
ชื่อพ้อง[2] | |
|
มีบันทึกไว้ว่า “เมื่อนักสำรวจพบพืชชนิดนี้ครั้งแรก เขาทำได้เพียงคุกเข่าล้มลงบนพื้นทรายอันร้อนระอุ สายตาจับจ้องไปที่มันด้วยความตกตะลึง ใจหนึ่งเกรงว่าแค่ปลายนิ้วสัมผัส อาจทำให้เขารู้ตัวว่ามันเป็นเพียงภาพที่เขาจินตนาการขึ้นมาเองเท่านั้น”[4]
นักสำรวจที่กล่าวถึงนี้มีชื่อว่า Friedrich Welwitsch แพทย์ชาวออสเตรีย แต่ด้วยความหลงใหลในพรรณไม้ เขาจึงผันตัวมาทำงานในฐานะหัวหน้าสวนพฤกษศาสตร์ในประเทศโปรตุเกส ภายหลังถูกมอบหมายให้ออกสำรวจทรัพยากรในดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกาในยุคนั้น และเมื่อวันที่ 3 กันยายน ปี 1859 ณ ทะเลทราย Moçâmedes พื้นที่ทางเหนือสุดของทะเลทรายนามิบ ในประเทศแองโกลา ในที่นั้นเอง เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับพืชสุดประหลาดจนทำให้เขาต้องตกอยู่ในอาการที่ได้กล่าวไปข้างต้น ความตื่นเต้นของเขาสามารถรับรู้ได้จากข้อความในสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) และถูกเขียนอย่างเร่งรีบแตกต่างจากบันทึกอื่น ๆ[5] ในบันทึกนั้นเขาตั้งชื่อสกุลพืชนี้ว่า Tumboa[6] มาจากชื่อพื้นเมืองว่า Tumbo จากนั้นเขาได้เขียนจดหมายแจ้งการค้นพบนี้ถึง Sir William Hooker ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว สหราชอาณาจักร ข้อความในจดหมายที่เกี่ยวข้องกับพืชนี้ประกอบด้วยสภาพภูมิประเทศและลักษณะของพืชโดยละเอียดที่ถูกอธิบายด้วยภาษาละตินตามธรรมเนียมของนักพฤกษศาสตร์ จดหมายดังกล่าวถูกนำขึ้นแจ้งแก่ที่ประชุมของสมาคม Linnean Society และถูกตีพิมพ์ในรายงานประชุมในครั้งนั้น[7][8] จากนั้นจึงมีการเผยแพร่ชื่อพืชนี้ที่เสนอโดย Friedrich Welwitsch ว่า Tumboa strobilifera[9]
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีกล่องพัสดุถูกส่งมายังสวนพฤกษศาสตร์หลวง เมืองคิว ผู้ส่งคือ Thomas Baines จิตรกรและนักสำรวจชาวอังกฤษ ผู้ท่องไปในดินแดนของชนเผ่า Damara ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศนามิเบียในปัจจุบัน ภายในกล่องบรรจุตัวอย่างพรรณไม้ที่อยู่ในสภาพไม่ดีนัก มีภาพวาดทิวทัศน์อันงดงาม และภาพวาดของพรรณไม้ในกล่องนั้นด้วย Joseph Hooker นักพฤกษศาสตร์และบุตรชายของ Sir William Hooker กล่าวว่า เขาทราบได้ทันทีว่าพืชในกล่องนั้นมีลักษณะคล้ายกับ Tumboa ของ Friedrich Welwitsch แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว และเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีจดหมายอธิบายลักษณะของพืชนี้แนบมาด้วย ทราบเพียงพิกัดทางภูมิศาสตร์ของสถานที่ที่เก็บพืชนี้ ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 800 กิโลเมตรไปทางใต้จากตำแหน่งของ Friedrich Welwitsch รวมถึงภาพวาดของ Thomas Baines ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลที่จำเป็นอย่างเพียงพอ มันมีความเป็นศิลปะมากกว่าความเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ถึงกระนั้น Joseph Hooker ก็ได้ตั้งชื่อพืชนี้ในเบื้องต้นว่า Tumboa bainesii[10] เผื่อไว้ในกรณีที่ตัวอย่างพรรณไม้ของ Thomas Baines เป็นคนละชนิดกับของ Friedrich Welwitsch[8]
หลังจากนั้น Joseph Hooker จึงเร่งเร้าให้ Friedrich Welwitsch ส่งตัวอย่างพรรณไม้ของเขามาเพื่อศึกษาเพิ่มเติม รวมถึงยังได้รับตัวอย่างพรรณไม้จากเพื่อนนักสัตววิทยา Joachim Monteiro ในประเทศแองโกลา และจาก Charles Andersson ที่ส่งตัวอย่างพรรณไม้มาแทน Thomas Baines เนื่องจาก Baines ได้เดินทางไปที่อื่นแล้ว เมื่อ Joseph Hooker ได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนทั้งทางสัณฐานวิทยา จุลสัณฐานวิทยา และกายวิภาคศาสตร์ เขาจึงได้ข้อสรุปว่า ตัวอย่างพรรณไม้ทั้งหมดนั้นเป็นชนิดเดียวกัน ในระหว่างนั้นเขาได้ส่งจดหมายขอความยินยอมจาก Friedrich Welwitsch เพื่อเปลี่ยนชื่อสกุลของพืชเป็น Welwitschia[11] เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ค้นพบพืชนี้ รวมถึงเหตุผลที่ว่าชื่อสกุล Tumboa ที่มาจากชื่อพื้นเมือง Tumbo ไม่ได้ใช้เรียกเจาะจงถึงพืชนี้เพียงชนิดเดียว ซึ่ง Friedrich Welwitsch ก็อนุญาตทันที และในท้ายที่สุด พืชสุดประหลาดนี้จึงมีชื่อที่เป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบันว่า Welwitschia mirabilis[12] โดยคำระบุชนิดนี้มีความหมายว่า มหัศจรรย์[8][13]
ความพิเศษของ Welwitschia mirabilis ถูกถ่ายทอดโดย Joseph Hooker ผ่านข้อความที่ว่า “ฉันไม่ลังเลที่จะบอกว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกเปิดเผยในช่วงศตวรรษนี้ จากการศึกษาอย่างพิถีพิถันทั้งในส่วนระบบท่อลำเลียง โครงสร้างสืบพันธุ์ และหลักฐานเชิงหน้าที่และพัฒนาการ แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติในทุก ๆ ส่วน ซึ่งบางลักษณะก็ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานทางพฤกษศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับทั่วไปในปัจจุบัน”[8] นอกจากนั้นแล้ว Charles Darwin นักชีววิทยาชื่อดังผู้สร้างแนวคิดทางวิวัฒนาการด้วยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ยังเคยกล่าวถึงพืชชนิดนี้ในจดหมายตอบโต้กับ Joseph Hooker ว่า “มันช่างเป็นสิ่งที่ประหลาดจริง ๆ เป็นเหมือนฟอสซิลที่มีชีวิตในสภาพสมบูรณ์ ที่ถูกคงสภาพมาแต่อดีตกาล”[5]
ปีศาจทะเลทราย เป็นพืชทนแล้ง มีวิสัยไม้พุ่ม สามารถสูงได้ถึง 2 เมตร มีอายุได้มากกว่า 1,000 ปี ลำต้นสั้น มีเนื้อไม้ รากแก้วยาวหยั่งลึกลงใต้ผิวดิน มีใบที่ปรากฏ 2 ใบ เจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากเนื้อเยื่อเจริญส่วนฐานที่อยู่สองข้างของลำต้น ใบรูปแถบ เหนียวเหมือนหนัง เส้นใบขนาน สามารถยาวได้ถึง 4 เมตร มักฉีกลุ่ยออกเป็นหลายแถบเมื่อมีอายุมาก มีปากใบอยู่ทั้งสองด้านของใบ และมีการสังเคราะห์ด้วยแสงแบบ CAM (crassulacean acid metabolism)[14] เป็นพืชแยกเพศต่างต้น ต้นเพศผู้สร้างโคนเพศผู้ (หรือ male strobili) ต้นเพศเมียสร้างโคนเพศเมีย (หรือ female strobili) เนื่องจากเป็นพืชเมล็ดเปลือยจึงไม่มีโครงสร้างที่เรียกว่าดอกและผล โคนซึ่งประกอบด้วยใบประดับเรียงซ้อนกันหลายชั้น เจริญเป็นช่อขึ้นมาจากเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ใกล้กับใบ เมื่อพัฒนาเต็มที่อับเรณูจะแตกออกในโคนเพศผู้และมีการสร้างหยดของเหลวที่ปลายท่อ micropyle ในโคนเพศเมีย รวมถึงมีการสร้างน้ำหวานในโคนทั้งสองเพศเพื่อล่อแมลงจำพวกแมลงวันมาเพื่อเป็นพาหะถ่ายเรณู ในอดีตเคยเข้าใจว่าแมลงที่ชื่อว่า Welwitschia bug (Probergrothius angolensis) เป็นพาหะถ่ายเรณูของปีศาจทะเลทราย แต่แท้จริงแล้วมันมีพฤติกรรมเพียงแค่ดูดน้ำเลี้ยงจากต้นพืชเท่านั้น[15] เมล็ดมีปีกแบนบางอาศัยลมพัดพาไปยังที่ต่าง ๆ[3]
ปีศาจทะเลทรายกระจายพันธุ์ในทะเลทรายนามิบห่างจากชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าไปในแผ่นดินประมาณ 80 กิโลเมตรแต่ไม่เกิน 200 กิโลเมตร[3] จากเส้นละติจูดที่ 24 ในประเทศนามิเบีย ขึ้นไปถึงเส้นละติจูดที่ 15 ในทางตอนใต้ของประเทศแองโกลา ซึ่งเป็นระยะทางเกือบ 1,000 กิโลเมตร[16] สันนิษฐานว่าพวกมันได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาเป็นเวลากว่า 105 ล้านปีแล้ว[17] มักพบในสภาพภูมิประเทศ 2 ลักษณะ คือหุบเขาที่แห้งแล้งและทะเลทรายใกล้ชายฝั่ง ซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 50 มิลลิเมตร คาดว่าพวกมันได้รับความชื้นจากหมอกและแหล่งน้ำใต้ดินเป็นหลัก[18]
ในปี 2001 Beat Leuenberger เสนอให้มีการจำแนก Welwitschia mirabilis ออกเป็น 2 ชนิดย่อย ตามลักษณะของโคนเพศผู้[19] ได้แก่ W. mirabilis ssp. mirabilis ซึ่งเป็นชนิดย่อยที่มีโคนเรียบ สีน้ำตาลม่วง ไม่มีนวลเคลือบ พบในประเทศแองโกลา และ W. mirabilis ssp. namibiana เป็นชนิดย่อยที่มีโคนขรุขระ สีเขียวหม่นถึงสีส้ม มีนวลเคลือบ พบในประเทศนามิเบีย อย่างไรก็ตามสำหรับข้อเสนอนี้มีงานวิจัยในภายหลังทั้งที่ให้การสนับสนุนและไม่สนับสนุน[20][16] จึงทำให้สถานะของทั้งสองชนิดย่อยยังไม่เป็นที่แน่นอน
ในปัจจุบัน ปีศาจทะเลทราย Welwitschia mirabilis ยังไม่ได้รับการประเมินสถานภาพตาม IUCN อย่างไรก็ถามมันถูกจัดไว้ในบัญชีแนบท้ายที่สองของอนุสัญญาไซเตส (CITES)[1] หมายความว่าเป็นชนิดที่ยังไม่ใกล้สูญพันธุ์และจะอนุญาตให้มีการค้าในเชิงพาณิชย์ได้ในกรณีที่มีการควบคุมไม่ให้ผลกระทบจากการค้าเป็นเหตุให้ชนิดนั้นตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ ในขณะเดียวกันมันยังถูกคุ้มครองด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติของประเทศนามิเบีย
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.