เฟรเดอริก แบนติง
From Wikipedia, the free encyclopedia
เฟรเดอริก แกรนต์ แบนติง (อังกฤษ: Sir Frederick Grant Banting, KBE, MC, MD, FRSC[1] - 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2434 – 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2484) นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวแคนาดา และผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากการร่วมเป็นผู้ค้นพบอินซูลิน[2]
เซอร์ เฟรเดอริก แกรนต์ แบนติง KBE MC FRS FRSC | |
---|---|
เฟรเดอริก แบนติง ในเมืองโทรอนโต, ออนแทรีโอ ค.ศ. 1931 | |
เกิด | 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1891(1891-11-14) อัลลิสตัน รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา |
เสียชีวิต | 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941(1941-02-21) (49 ปี) ใกล้กับอ่าวมัสเกรฟ, เขตอธิปไตยของรัฐนิวฟันด์แลนด์ |
สัญชาติ | ชาวแคนาดา |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยโทรอนโต, (พ.บ.) |
มีชื่อเสียงจาก | ผู้ค้นพบร่วมของอินซูลิน |
คู่สมรส |
|
บุตร | 1 |
รางวัล | รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ (1923) รางวัลคาเมรอน สาขาการบำบัดโรคของมหาวิทยาลัยเอดินบะระ (1927) เหรียญฟลาเวล (1931) เหรียญกล้าหาญ |
อาชีพทางวิทยาศาสตร์ | |
สถาบันที่ทำงาน | มหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออนแทรีโอ, มหาวิทยาลัยโทรอนโต |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | แคนาดา |
แผนก/ | หน่วยเสนารักษ์กองทัพบกแคนาดา |
ประจำการ | ค.ศ. 1916–1918 |
ชั้นยศ | ร้อยเอกและเรืออากาศเอก |
การยุทธ์ | สงครามโลกครั้งที่ 1 |
แบนติงเกิดที่เมืองอัลลิสตัน รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา[3] หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโทรอนโตเมื่อ พ.ศ. 2459 ได้เข้ารับราชการทหารหน่วยการแพทย์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้รับไม้กางเขนระหว่างสงคราม หลังสงครามได้กลับประเทศและเข้ารับการฝึกหัด[4]: 44 เป็นศัลยแพทย์กระดูกที่โรงพยาบาลเด็กในโทรอนโตระหว่างปี พ.ศ. 2462 – พ.ศ. 2463 และในฤดูร้อนปีนั้น แบนติงได้ไปทำงานเป็นแพทย์ในมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออนแทรีโอ[4]: 48 ในขณะที่กำลังอ่านบทความจากวารสารการแพทย์ เขาได้บันทึกความคิดเกี่ยวกับวิธีการแยกสารหลั่งภายในของตับอ่อน ซึ่งจะเป็นขั้นตอนสำคัญมากที่จะช่วยให้การรักษาโรคเบาหวานที่ได้ผล ซึ่งในขั้นนี้เองที่ขั้นตอนทั้งหมดที่เคยทำกันมาเพื่อแยกสารเพื่อให้แก่คนไข้ล้มเหลวมาโดยตลอด ด้วยความที่แบนติงไม่ค่อยชอบการทำงานเป็นแพทย์ แต่มีความสนใจตื่นเต้นกับความคิดนี้มาก เขาจึงย้ายจากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออนแทรีโอ ไปยังมหาวิทยาลัยโทรอนโต โดยได้เริ่มงานวิจัยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์จอห์น แมคลอยด์ โดยแบนติงได้รับมอบนักศึกษาปริญญาโทคนหนึ่งให้มาเป็นผู้ช่วยคือ ชาร์ล เบส[5]
แบนติงได้ทำการทดลองอย่างหนัก โดยการผ่าตัดสุนัขเพื่อมัดท่อตับอ่อน เพื่อทำให้เกิดการฝ่อบางส่วนแล้วจึงตัดเอาตับอ่อนออกในสัปดาห์ต่อมา โดยหวังว่าตับอ่อนจะมีสารหลั่งที่สะอาด เข้มข้นและไม่ปนเปื้อน จากนั้นจะทำการสกัดไปรักษาสุนัขที่ป่วยเป็นเบาหวานโดยการรักษาด้วยการลดน้ำตาลในเลือดเพื่อดูว่าจะได้ผลหรือไม่
หลายเดือนต่อมา ดูเหมือนว่าวิธีการของแบนติงจะได้ผลเนื่องจากเขาสามารถทำให้สุนัขมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการลดระดับน้ำตาลในเลือดลง และได้รีบรายงานให้แมคลอยด์ได้รับทราบ ยังมีข้อสงสัยว่าวิธีของแบนติงยังหยาบและไม่ได้ผลจริง ต่อมาจากการเข้าลงมือร่วมวิจัยโดยตรงของแมคลอยด์และนักเคมีชื่อเจมส์ คอลลิบ พบว่าการใช้ตับอ่อนของสุนัขได้ผลในทางปฏิบัติ จึงย้ายไปทำกับลูกวัวและวัว เทคนิคการผูกท่อตับอ่อนถูกยกเลิกไป หันมาใช้วิธีสกัดที่ได้ผลดีในตับธรรมดาที่ไม่ต้องมัดท่อ และเรียกสารที่สกัดได้นี้ในระหว่าง พ.ศ. 2464 – 2465 ว่า "อินซูลิน"
การกระทำนี้ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นความก้าวหน้าสูงสุดในยุคนั้น ไม่เพียงการค้นพบเพียงอินซูลิน แต่ยังสามารถทำการผลิตเป็นจำนวนมากในเวลานับได้เป็นเดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าสามารถช่วยชีวิตคนนับล้านทั่วโลกที่ป่วยจากโรคต่อมไร้ท่อและโรคเบาหวานซึ่งไม่สามารถรักษาและพยากรณ์โรคในขณะนั้นได้ทันที ผู้ป่วยจากปัญหาการเผาผลาญไขมันและโปรตีนซึ่งนำไปสู่การตาบอดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา สามารถรับการรักษาได้ตั้งแต่เริ่มเป็นโรค
แบนติง และ แมคลอยด์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ แบนติงได้แบ่งเงินรางวัลให้เบสท์ เพราะเชื่อว่าเบสท์สมควรได้รับรางวัลมากกว่าแมคลอยด์ ผู้ซึ่งต่อมาก็ได้แบ่งเงินรางวัลให้แก่คอลลิบด้วยเช่นกัน[6] แบนติงได้สร้างความปลาบปลื้มให้แก่ชาวแคนาดาเป็นอันมาก เนื่องจากเขาเป็นบุคคลแรกที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้แก่แคนาดา รัฐบาลแคนาดาได้สนับสนุนเงินวิจัยแก่แบนติงไปตลอดชีวิต[7] ในปี พ.ศ. 2477 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นเซอร์แก่แบนติงเป็น เซอร์ เฟรเดอริก แบนติง