Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เดอะซูเปอร์ลีก (อังกฤษ: The Super League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลตามฤดูกาลสำหรับทีมสโมสรในยุโรป เริ่มต้นลีกมี 20 ทีม โดย 15 ทีมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของการแข่งขัน[2] ลีกถูกสร้างขึ้นโดยองค์กรการค้าที่เรียกว่า European Super League Company บริษัทนี้มีเป้าหมายที่จะแข่งขันกับการแข่งขันของยูฟ่า เช่น แชมเปียนส์ลีก ซึ่งปัจจุบันเป็นทัวร์นาเมนต์ของสโมสรชั้นนำของยุโรป[2]
ก่อตั้ง | 18 เมษายน 2021 |
---|---|
ภูมิภาค | ยุโรป |
จำนวนทีม | 20 |
คำขวัญ | The best clubs. The best players. Everyweek.[1] |
เว็บไซต์ | thesuperleague |
ผู้นำที่อยู่เบื้องหลังอีเอสแอลได้แก่ โฟลเรนติโน เปเรซ (ประธานสโมสรเรอัลมาดริด), อันเดรีย อันเญลลี (ประธานสโมสรยูเวนตุสในขณะนั้น), โจเอล เกลเซอร์ (เจ้าของร่วมของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด), จอห์น ดับเบิลยู. เฮนรี (เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล) และสแตน โครเอนเก (เจ้าของสโมสรอาร์เซนอล) ภายในปี 2023 เปเรซและฌูอัน ลาปอร์ตา ประธานบาร์เซโลนายังคงเป็นผู้สนับสนุนอีเอสแอล[3]
การประกาศจัดตั้งยูโรเปียนซูเปอร์ลีก ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ได้รับเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวางจากแฟนบอล ผู้เล่น ผู้จัดการทีม นักการเมือง และสโมสรอื่นๆ ในอังกฤษ[4] ซึ่งเป็นประเทศที่มีตัวแทนเข้าร่วมโปรเจ็กต์มากที่สุดคือ 6 ทีม ได้แก่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ซิตี ลิเวอร์พูล ทอตนัมฮอตสเปอร์ เชลซี และอาร์เซนอล นอกจากนี้ยังได้รับการคัดค้านจากยูฟ่าและฟีฟ่าและรัฐบาลบางประเทศ[5] คำวิจารณ์ส่วนใหญ่ที่ต่อต้านอีเอสแอลนั้นเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการขาดความสามารถในการแข่งขัน หากประกอบด้วยทีมระดับชั้นนำจากประเทศในยุโรปไม่กี่ประเทศเท่านั้น[6][7]
การต่อต้านการประกาศการจัดตั้งลีกทำให้ 9 สโมสรที่เกี่ยวข้องรวมถึงสโมสรในอังกฤษทั้ง 6 สโมสรประกาศความตั้งใจที่จะถอนตัว[8] สมาชิกที่เหลือของอีเอสแอลได้ประกาศในภายหลังว่าพวกเขาจะปรับโฉมโครงการให้เป็นรูปแบบที่เปิดกว้างมากขึ้น[9] 3 วันต่อมา อีเอสแอลประกาศว่ากำลังระงับการดำเนินการ[10] ในขณะที่มีข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้น[11]
สิบสองสโมสรได้รับการประกาศให้เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง โดยมีอีกสามสโมสรที่จะเข้าร่วมก่อนเปิดฤดูกาล ประกอบด้วย บิกซิกซ์จากอังกฤษ สามสโมสรจากสเปน และสามสโมสรจากอิตาลี โดยสโมสรผู้ก่อตั้งทั้งสิบห้าทีมจะเป็นทีมที่เข้าร่วมแข่งขันถาวร มีหลายสโมสร รวมไปถึง ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง และไบเอิร์นมิวนิก ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมแข่งขัน[12]
สโมสรผู้ก่อตั้งดั้งเดิม
เมื่อ 20 เมษายน ค.ศ. 2021 แมนเชสเตอร์ซิตียืนยันว่าพวกเขาเริ่มขั้นตอนการขอถอนตัวจากซูเปอร์ลีกอย่างเป็นทางการ[16] อเล็กซานเดอร์ เซเฟริน ประธานยูฟ่า ออกแถลงการณ์ต้อนรับพวกเขากลับสู่ "ครอบครัวฟุตบอลยุโรป"
อาร์เซนอล,[13] ลิเวอร์พูล,[15] แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด,[17] และทอตนัมฮอตสเปอร์[18] ประกาศถอนตัวในวันรุ่งขึ้น โดยเชลซีถอนตัวในช่วงหัวค่ำของวันถัดมา[14] ในขณะเดียวกัน อินเตอร์มิลาน สโมสรของอิตาลีบอกกับสำนักข่าวANSAว่า "ไม่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้อีกต่อไป"[19] แม้ว่าจะไม่มีการยืนยันการถอนตัวอย่างเป็นทางการก็ตาม ข่าวลือมากมายยังระบุว่ามิลานคู่แข่งร่วมเมืองกำลังพิจารณาที่จะถอนตัวจากซูเปอร์ลีกเช่นเดียวกัน โดยเหลือเพียงยูเวนตุส, อัตเลติโกเดมาดริด, เรอัลมาดริด และบาร์เซโลนาเท่านั้นที่เข้าร่วมการแข่งขัน
หลังจากการถอนตัวของสโมสรอังกฤษเมื่อ 21 เมษายน ซูเปอร์ลีกแถลงว่า "ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังจะพิจารณาขั้นตอนที่เหมาะสมที่สุดในการปรับโครงสร้างโครงการใหม่ โดยคำนึงถึงเป้าหมายของเราในการนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับแฟน ๆ ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของแฟนบอลทั้งหมด"[20]
อาร์แซน แวงแกร์ อดีตผู้จัดการทีม[21]
การประกาศดังกล่าวทำให้เกิดเสียงประณามอย่างกว้างขวางจากยูฟ่า, สมาคมฟุตบอล และพรีเมียร์ลีกจากอังกฤษ, สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี และเซเรียอาจากอิตาลี, ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน และลาลิกาจากสเปน ซึ่งมาจากประเทศของสโมสรผู้ก่อตั้ง พวกเขาออกแถลงการณ์ร่วมระบุว่าพวกเขาจะ "พิจารณามาตรการทั้งหมดทั้งในด้านการพิจารณาคดีและการกีฬา" เพื่อป้องกันไม่ให้ซูเปอร์ลีกดำเนินการต่อไป ยูฟ่าและสามชาติเตือนว่าสโมสรใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซูเปอร์ลีก จะถูกแบนจากการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ ฟุตบอลยุโรป และการแข่งขันฟุตบอลทั้งหมด[22] พวกเขายังขู่ว่า ผู้เล่นที่เกี่ยวข้องอาจถูกตัดสินในการเป็นตัวแทนทีมชาติในการแข่งขันระดับนานาชาติด้วย[22][23] สหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และสันนิบาตฟุตบอลอาชีพจากฝรั่งเศส รวมถึงสมาคมฟุตบอลเยอรมัน และด็อยท์เชอฟุสส์บัลล์ลีกาจากเยอรมนี ซึ่งยังไม่มีสโมสรใดเข้าร่วม ก็ออกแถลงการณ์คัดค้านซูเปอร์ลีก[24][25][26] นอกจากนี้ยังมีคำวิจารณ์ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ซิตี และทอตนัมฮอตสเปอร์ ต่างไม่เคยชนะการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเฉพาะสโมสรหลังที่ไม่เคยชนะในการแข่งขันลีกสูงสุดในประเทศนับตั้งแต่ ค.ศ. 1961[27]
สมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรป ซึ่งมีอันเดรอา อันเจลนี รองประธานซูเปอร์ลีก เป็นประธานสมาคมด้วย ได้จัดประชุมเร่งด่วนและประกาศคัดค้านแผนดังกล่าวในเวลาต่อมา[28] อันเจลนีเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของยูฟ่า และสโมสรผู้ก่อตั้งซูเปอร์ลีก ซึ่งเขาไม่ได้เข้าร่วมการประชุมนี้ ต่อมาอันเจลนีลาออกจากตำแหน่งประธานอีซีเอ และสมาชิกคณะกรรมการบริหารของยูฟ่า โดยทั้ง 12 สโมสรในซูเปอร์ลีกก็ออกจากอีซีเอด้วย[29][30][31] ด้านฟีฟ่ายังแสดงความไม่เห็นด้วยกับแผนดังกล่าว[32]
กลุ่มผู้สนับสนุนฟุตบอลยุโรป ซึ่งหน่วยงานที่เป็นตัวแทนของผู้สนับสนุนใน 45 ประเทศของยูฟ่า ออกแถลงการณ์คัดค้านการก่อตั้งซูเปอร์ลีก[33]
นักการเมืองหลายคนแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อแผนดังกล่าว บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร กล่าวว่าเรื่องนี้ "สร้างความเสียหายต่อฟุตบอลอย่างมาก" และปฏิญาณว่าจะ "ไม่ดำเนินไปในทางที่เสนออยู่ในขณะนี้"[34] นอกจากนี้ โอลิเวอร์ โดว์เดน รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวในแถลงการณ์ต่อสภาว่า "การก่อตั้งซูเปอร์ลีกเป็นสิ่งที่ขัดต่อจิตวิญญาณของเกม" โดยให้คำมั่นว่าจะทำ "ทุกวิถีทาง" เพื่อหยุดสโมสรในอังกฤษไม่ให้เข้าร่วมแข่งขัน[35][36] แอมานุแอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส สนับสนุนจุดยืนของยูฟ่า โดยระบุว่า ""รัฐบาลฝรั่งเศสจะสนับสนุนทุกขั้นตอนที่ดำเนินการโดยสมาคมฟุตบอล สันนิบาตอาชีพ ยูฟ่า และฟีฟ่า เพื่อปกป้องความสมบูรณ์ของการแข่งขันภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติ หรือในยุโรป"[37] รัฐบาลสเปนออกแถลงการณ์ว่าพวกเขา "ไม่สนับสนุนความคิดริเริ่มในการสร้างซูเปอร์ลีกที่ส่งเสริมโดยสโมสรต่าง ๆ ในยุโรปรวมถึงสเปนด้วย"[38] มารีโอ ดรากี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ยังให้การสนับสนุนยูฟ่าในเรื่องการตัดสินใจของพวกเขา โดยกล่าวว่าเขา "สนับสนุนจุดยืนของหน่วยงานอิตาลีและหลายชาติในยุโรป"[39] เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ ประธานสมาคมฟุตบอลอังกฤษ กล่าวว่าเขา "แสดงความกังวลเกี่ยวกับแผนการก่อตั้งซูเปอร์ลีก ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับฟุตบอลที่พวกเรารัก"[40]
มีการอธิบายว่าซูเปอร์ลีกเป็นการ "ทำลาย" โครงสร้างที่สำคัญที่สุดของฟุตบอลยุโรปนับตั้งแต่มีการสร้างยูโรเปียนคัพ โดยอ้างถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสโมสรระดับล่างคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ใน ค.ศ. 1992[41][42][43] อย่างไรก็ตาม โฟลเรนติโน เปเรซ ประธานซูเปอร์ลีก แย้งว่าซูเปอร์ลีกจะสร้างรายได้จากฟุตบอลเนื่องจากจะเพิ่มรายได้โดยรวมในฟุตบอล ดังนั้นจึงทำให้สโมสรใหญ่ ๆ สามารถลงทุนกับสโมสรขนาดเล็กได้มากขึ้นผ่านการซื้อตัวนักเตะ
นอกจากนี้เขายังระบุว่าซูเปอร์ลีก "ไม่ใช่การแข่งขันของคนรวย แต่เป็นการแข่งขันเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อกอบกู้ฟุตบอลโดยผู้ยิ่งใหญ่"[44][45]
ผู้แสดงความคิดเห็นตั้งข้อสังเกตว่า ซูเปอร์ลีกจะขจัดความเสี่ยงทางการเงินสำหรับสมาชิกผู้ก่อตั้งเนื่องจากการก่อตั้งลีกแบบ "กึ่งปิด" คล้ายกับยูโรลีกของบาสเก็ตบอล ซึ่งกลุ่มสโมสรผู้ก่อตั้งได้รับการรับรองว่าจะได้เข้าร่วมแข่งขันซูเปอร์ลีกทุกปีโดยไม่ต้องผ่านคุณสมบัติ สิ่งนี้จะช่วยขจัดความเสี่ยงที่สโมสรจะตกชั้นในลีกภายในประเทศ หรือไม่ผ่านเข้ารอบแชมเปียนส์ลีก จึงทำให้สโมสรผู้ก่อตั้งมีความมั่นคงในการสร้างรายได้ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น[46][47] หุ้นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพิ่มขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ครึ่งหลังจากการประกาศก่อตั้งซูเปอร์ลีก รวมไปถึงหุ้นของยูเวนตุสเพิ่มขึ้นสูงถึง 16 เปอร์เซ็นต์ด้วย[48] ผู้แสดงความคิดเห็นยังระบุด้วยว่าซูเปอร์ลีกจะทำให้การแข่งขันภายในประเทศกลายเป็นลีกที่ไม่เกี่ยวข้องและกลายเป็นลีกที่อยู่ระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับซูเปอร์ลีก และมันจะทำลายความคิดที่อยู่เบื้องหลังของระบบเลื่อนชั้นและตกชั้น อย่างไรก็ตาม โฟลเรนติโน เปเรซ ประธานซูเปอร์ลีก อ้างว่าลีกมีแผนที่จะเพิ่มระบบเลื่อนชั้นและตกชั้นในภายหลัง[49][50] อเล็กซ์ เว็บบ์ คอลัมนิสต์ของบลูมเบิร์ก แย้งว่าเมื่อซูเปอร์ลีกทำให้พรีเมียร์ลีกหมดความนิยมลง อาจทำให้อำนาจอ่อนของอังกฤษลดลงได้เช่นกัน[51] มาร์ก เอเดลแมน นักเขียนของฟอบส์ และศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากซิตียูนิเวอร์ซิตีออฟนิวยอร์ก เขียนว่าซูเปอร์ลีกจะนำรูปแบบลีกกีฬาอาชีพของสหรัฐอเมริกาที่ร่ำรวยเข้ามาสู่ยุโรป[52]