อาหารเมดิเตอร์เรเนียน
From Wikipedia, the free encyclopedia
อาหารเมดิเตอร์เรเนียน (อังกฤษ: Mediterranean diet) เป็นการคุมอาหารที่ได้แรงดลใจจากประเพณีการทานอาหารของชาวกรีก ชาวอิตาลีภาคใต้ และชาวสเปนที่พบในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 และ 1950[2] หลักสำคัญได้แก่การรับประทานน้ำมันมะกอก พืชวงศ์ถั่ว ข้าวกล้อง ผลไม้และผักเป็นจำนวนมาก รับประทานปลาพอประมาณจนถึงมาก รับประทานผลิตภัณฑ์นมโดยมากเป็นชีสและโยเกิร์ตพอประมาณ ดื่มไวน์พอประมาณ และรับประทานผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์นอกจากปลาน้อย[3]
อาหารเมดิเตอร์เรเนียน * | |
---|---|
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก | |
ประเทศ | กรีซ โครเอเชีย ไซปรัส โปรตุเกส โมร็อกโก สเปน อิตาลี |
ภูมิภาค ** | ยุโรปและอเมริกาเหนือ |
สาขา | ธรรมเนียมและการแสดงออกทางมุขปาฐะ, แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล, ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล, งานช่างฝีมือดั้งเดิม |
เกณฑ์พิจารณา | R.1, R.2, R.3, R.4, R.5[1] |
อ้างอิง | 00884 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2013/2556 (คณะกรรมการสมัยที่ 8) |
รายการ | ตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและการสงวนรักษาที่ดี ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
มีหลักฐานบ้างว่า อาหารชนิดนี้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและการเสียชีวิตก่อนวัย[4][5] น้ำมันมะกอกอาจเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้สุขภาพดี[6] มีหลักฐานเบื้องต้นว่า การรับประทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำอาจลดอัตราการตายรวมเหตุทั้งหมด (all-cause mortality) ลดความเสี่ยงมะเร็ง โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด (CVD) ประสาทเสื่อม (neurodegeneration) และโรคเรื้อรังหลายอย่าง[6][7][8][9]
ในปี 2013 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้เพิ่มอาหารเมดิเตอร์เรเนียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) ของประเทศอิตาลี (เป็นผู้โปรโหมต) สเปน โปรตุเกส โมร็อกโก กรีซ ไซปรัส และโครเอเชีย[10][11]