อารามอาจี
From Wikipedia, the free encyclopedia
อารามอาจี (ทิเบต: ཨ་ལྕི་ཆོས་འཁོར།; Alchi Monastery) หรือ อาจีเกินปา (ทิเบต: ཨ་ལྕི་དགོམ་པ།) เป็นหมู่พุทธารามในศาสนาพุทธแบบทิเบต ตั้งอยู่ในหมู่บ้านอาจี อำเภอเลห์ ส่วนหนึ่งของสภาพัฒนาที่เขาปกครองตนเองในลาดัก ในลาดัก ประเทศอินเดีย หมู่อารามนี้ประกอบด้วยนิคมย่อยจำนวนสี่นิคมที่อยู่แยกกันในหมู่บ้านอาจี ในแต่ละอารามมีสิ่งปลูกสร้างที่มีอายุเก่าแก่แตกต่างกันไป อารามอาจีอยู่ภายใต้การบริหารของอารามลีกีร์[1][2][3] อาจียังเป็นส่วนหนึ่งของหมู่อนุสรณ์อาจี (‘Alchi group of monuments’) ร่วมกับมังคยู และ ซุมดาชุน ซึ่งได้รับการบรรยายไว้ว่ามี "รูปแบบงานช่างศิลป์เฉพาะตัว"[1][2]
อารามอาจี | |
---|---|
ศาสนา | |
ศาสนา | ศาสนาพุทธแบบทิเบต |
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | อาจี อำเภอเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 34°13′N 77°10′E |
สถาปัตยกรรม | |
รูปแบบ | ทิเบต |
ผู้ก่อตั้ง | Rinchen Zangpo (ค.ศ. 958-1055) |
ตามธรรมเนียมพื้นถิ่น หมู่พุทธารามนี้สร้างขึ้นโดยคุรุนักแปล Rinchen Zangpo ในปี 958 ถึง 1055 กระนั้น จารึกในสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ระบุว่าสร้างขึ้นโดยขุนนางชาวทิเบต นามว่า Kal-dan Shes-rab ในศตวรรษที่ 11[2][4] ดูคัง (Dukhang) หรือโถงรวมตัว และตัววัดหลัก (gTsug-lag-khang) ที่มีความสูงสามชั้นและมีชื่อเรียกว่า Sumtseg (gSum-brtsegs, แปลตรงตัวว่า 'สูงสามชั้น') ล้วนสร้างขึ้นด้วยงานศิลป์แบบกัศมีร์ ส่วนวิหารหลังที่สามเรียกว่าวิหารพระมัญชุศรี ('Jam-dpal lHa-khang) นอกจากนี้ในพื้นที่หมู่พทุธารามยังประกอบด้วยสถูปจำนวนหนึ่ง[1][2]
งานจิตรกรรมฝาพนังของอารามสะท้อนให้เห็นถึงรายละเอียดเชิงศิลปะและเชิงศาสนาของทั้งกษัตริย์ฮินดูและพุทธในพื้นที่กัศมีร์และหิมาจัลประเทศในเวลานั้น งานิจตรกรรมเหล่านี้เป็นหนึ่งในจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในลาดักที่ยังเหลือถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ภายในยังมีพุทธประติมาขนาดใหญ่และงานแกะสลักไม้ที่วิจิตรตระการตาที่เทียบเท่าได้กับศิลปะยุโรปแบบบาโรก[2][5] หนึ่งในจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นคือฉากกินดื่มของกษัตริย์ที่โถงดูคัง (Royal drinking scene in the Dukhang) อายุราวปี 1200 ซึ่งแสดงภาพกษัตริย์สวมเครื่องประดับศีรษะกะบะอ์ในรูปแบบเติร์ก-เปอร์เซีย ซึ่งคล้ายกันกับที่พบที่อารามมังคยูซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน[6] ศิลปินเลื่องชื่อของอินเดีย ศากติ ไมระ เคยบรรยายความงดงามของอารามนี้ไว้อย่างมีชีวิตชีวาในงานเชียนของเขา[7]