สมัยการบูรณะ
From Wikipedia, the free encyclopedia
สมัยการบูรณะ หรือ Reconstruction era เป็นยุคสมัยหนึ่งของประวัติศาสตร์สหรัฐ หลังสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ.1861-1865) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ค.ศ. 1865 ถึง 1877 และเป็นสมัยสำคัญของประวัติศาสตร์ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกา การฟื้นฟู หรือ การบูรณะ ดำเนินตามรัฐสภาสหรัฐ การเลิกทาสและปิดฉากเศษซากของการแยกตัวออกจากสหรัฐของสมาพันธรัฐในมลรัฐภาคใต้ ได้มีการประกาศให้ทาสมีเสรีภาพ (เสรีชน; คนผิวดำ) และความเป็นพลเมืองที่มีสิทธิพลเมืองเท่าเทียมกับคนผิวขาว (อย่างเห็นได้ชัด) สิทธิเหล่านี้ได้รับการรับรองจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญข้อที่ 13 ข้อที่ 14 และข้อที่ 15 มักถูกเรียกโดยรวมว่า บทบัญญัติรัฐธรรมนูญสมัยการบูรณะ สมัยสมัยการบูรณะ ยังหมายถึงความพยายามหลักๆ ของรัฐสภาสหรัฐในการเปลี่ยนสภาพ 11 รัฐของอดีตสมาพันธรัฐอเมริกา เข้าเปลี่ยนผ่านสู่สหภาพ
สมัยการบูรณะ | |||
---|---|---|---|
1865 – 1877 | |||
ซากปรักหักพังของเมืองริชมอนด์ (รัฐเวอร์จิเนีย) อดีตเมืองหลวงของสมาพันธรัฐอเมริกา หลังสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกา; ทาสชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อย เดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกใน ค.ศ. 1867;[1] ที่ทำการของสำนักเสรีชนในเมืองเมมฟิส (รัฐเทนเนสซี); การจลาจลเมมฟิส ค.ศ. 1866 | |||
รวมถึง | สถานที่สหรัฐอเมริกา ภาคใต้ของสหรัฐ | ||
การปกครอง | สหพันธ์สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ ระบบประธานาธิบดี ได้แก่ อับราฮัม ลินคอล์น แอนดรูว์ จอห์นสัน ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ รัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮส์ | ||
เหตุการณ์สำคัญ | สำนักเสรีชน การลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น การจัดตั้งคูคลักซ์แคลน รัฐบัญญัติการบูรณะ การฟ้องให้ขับแอนดรูว์ จอห์นสันออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี รัฐบัญญัติการบังคับใช้ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญสมัยการบูรณะ การประนีประนอม ค.ศ. 1877 | ||
|
หลังจากการลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีผู้นำพรรคริพับลิกันเข้าต่อต้านระบบทาสและต่อสู้ในสงครามกลางเมือง รองประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสันได้สืบตำแหน่งประธานาธิบดี เขาเป็นฝ่ายสหภาพที่โดดเด่นทางตอนใต้ แต่ในไม่ช้าเขากลับไปนิยมชมชอบอดีตฝ่านสมาพันธรัฐและกลายเป็นผู้นำในการต่อต้านพวกเสรีชนและพวกพันธมิตรรีพับลิกันหัวรุนแรง ความตั้งใจของเขาคือความพยายามให้รัฐทางใต้กลับมาเป็นอิสระในการตัดสินใจเรื่องสิทธิ (และชะตากรรม) ของอดีตทาส ในขณะที่คำปราศรัยสุดท้ายของลินคอล์นได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่สำหรับการบูรณะ รวมถึงการเสนอให้เสรีชนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงอย่างเต็มรูปแบบ ส่วนจอห์นสันกับพรรคเดโมแครตยืนกรานต่อต้านวัตถุประสงค์ดังกล่าว
นโยบายสมัยการบูรณะของจอห์นสันโดยทั่วไปนั้นคว้าชัยชนะจนถึงการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ค.ศ. 1866 แต่หลังจากนั้น 1 ปี มีการโจมตีคนผิวดำในภาคใต้อย่างรุนแรง เหตุการณ์เหล่านี้รวมถึงการจลาจลเมมฟิส ค.ศ. 1866 เดือนพฤษภาคมและการสังหารหมู่นิวออร์ลีนส์ ค.ศ. 1866 เดือนกรกฎาคม ผลการเลือกตั้งในปี 1866 นั้น พรรครีพับลิกันถือเสียงข้างมากในรัฐสภา พวกเขาจึงใช้อำนาจในการผลักดันบทบัญญัติรัฐธรรมนูญข้อที่ 14 รัฐสภาได้ใช้ระบอบสหพันธรัฐในการสร้างการคุ้มครองสิทธิเท่าเทียมกันและยุบสภานิติบัญญัติของฝ่ายกบฏ โดยกำหนดให้มีการใช้รัฐธรรมนูญมลรัฐฉบับใหม่ทั่วทั้งภาคใต้ ซึ่งสิทธิพลเมืองของพวกเสรีชน ฝ่ายริพับลิกันหัวรุนแรงในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ผิดหวังในการที่ประธานาธิบดีจอห์นสันต่อต้านแนวทางการบูรณะของรัฐสภา พวกเขาจึงยื่นฟ้องให้ขับแอนดรูว์ จอห์นสันออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ก็พ่ายแพ้เพียงแค่คะแนนเสียง 1 เสียงของวุฒิสภา กฎหมายสมัยการบูรณะแห่งชาติฉบับใหม่ได้ปลุกเร้าความโกรธแค้นของคนผิวขาวในภาคใต้ นำมาสู่การก่อกำเนิดคูคลักซ์แคลน กลุ่มแคลนข่มขู่ คุกคาม และสังหารสมาชิกพรรครีพับลิกันและเสรีชนที่ออกมาพูด ตลอดจนอดีตฝ่ายสมาพันธรัฐด้วย รวมถึงเจมส์ เอ็ม. ฮินส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐอาร์คันซอ ก็ถูกลอบสังหาร
รัฐบาลผสมของพรรครีพับลิกันเข้ามามีอำนาจและมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมในเกือบทุกรัฐที่เคยเป็นฝ่ายสมาพันธรัฐ สำนักเสรีชนและกองทัพบกสหรัฐ ทั้งสองมีเป้าหมายที่จะใช้เศรษฐกิจแรงงานเสรีเพื่อทดแทนเศรษฐกิจแรงงานทาสที่มีจวบจนสิ้นสงครามกลางเมือง สำนักได้ปกป้องสิทธิตามกฎหมายของเสรีชน การเจรจาสัญญาจ้างงาน และช่วยสร้างเครือข่ายโรงเรียนและโบสถ์ ชาวภาคเหนือหลายพันคนเดินทางมาภาคใต้ในฐานะครูสอนศาสนาและครูอาจารย์ เช่นเดียวกับนักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อทำงานในโครงการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจ คำว่า "คาร์เพทแบ็กเกอร์" กลายเป็นคำเยาะเย้ยที่ใช้โจมตีผู้สนับสนุนการบูรณะซึ่งเดินทางจากภาคเหนือมายังภาคใต้
หลังได้รับเลือกตั้งในค.ศ. 1868 ประธานาธิบดียูลิสซีส เอส. แกรนต์จากพรรครีพับลิกันสนับสนุนกระบวนการบูรณะของรัฐสภา และบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาในภาคใต้ ผ่านรัฐบัญญัติการบังคับใช้ที่เพิ่งผ่านรัฐสภามาไม่นานนัก แกรนต์ใช้มาตรการในการปราบปรามคูคลักซ์แคลน พวกแคลนกลุ่มแรกได้ถูกกวาดล้างอย่างสิ้นซากในค.ศ. 1872 นโยบายและข้อกำหนดของแกรนต์ถูกออกแบบมาเพื่อรวมการบูรณาการไว้ที่รัฐบาลกลาง สร้างสิทธิเท่าเทียม การอพยพเคลื่อนย้ายของคนผิวสี และรัฐบัญญัติสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1875 อย่างไรก็ตาม แกรนต์ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นภายในพรรครีพับลิกัน ระหว่างรีพับลิกันเหนือและรีพับลิกันใต้ (กลุ่มหลังมักถูกเรียกว่า "สกาลาแวก" โดยพวกที่ต่อต้านการบูรณะ) ในขณะที่กลุ่มพระผู้ไถ่คนขาว และกลุ่มบูร์บงเดโมแครตภาคใต้ ต่อต้านกระบวนการบูรณะอย่างมาก[2]
ในที่สุดการสนับสนุนนโยบายการบูรณะอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือก็ลดน้อยลง ฝ่ายรีพับลิกันกลุ่มใหม่เกิดขึ้นโดยต้องการให้กระบวนการบูรณะยุติลงและกองทัพจะต้องถอนตัว กลุ่มใหม่นี้คือ พรรคเสรีนิยมรีพับลิกัน หลังจากเกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ค.ศ. 1873 พรรคเดโมแครตได้ฟื้นตัวและสามารถเข้ามาควบคุมสภาผู้แทนราษฎรได้อีกครั้งในค.ศ. 1874 พวกเขาเรียกร้องให้ยุติสมัยการบูรณะทันที ในค.ศ. 1877 มีการเจรจาจากเหตุการณ์การประนีประนอม ค.ศ. 1877 ให้มีการเลือกพรรครีพับลิกันเป็นประธานาธิบดี อันเนื่องมาจากข้อพิพาทจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 1876 จึงมีการกำหนดให้กองทัพกลางต้องถอนทหารออกจากสามรัฐที่ได้ไปประจำการอยู่ (เซาท์แคโรไลนา, ลุยเซียนา และฟลอริดา) เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งจุดจบของสมัยการบูรณะ
นักประวัติศาสตร์หลายคนได้บรรยายถึงสมัยการบูรณะว่ามี "ข้อบกพร่องและความล้มเหลว" มากมาย รวมถึงความล้มเหลวในการปกป้องคนผิวดำเสรีชนจำนวนมาก จากความรุนแรงของคูคลักซ์แคลนช่วงก่อนค.ศ. 1871 และไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาจากความอดอยาก โรคระบาดและความตาย และการปฏิบัติต่ออดีตทาสอย่างทารุณโดยทหารของสหภาพ ในขณะเดียวกันก็มีการชดเชยให้แก่อดีตเจ้าของทาส แต่กลับปฏิเสธที่จะชดเชยให้แก่อดีตทาส[3] อย่างไรก็ตาม สมัยการบูรณะประสบความสำเร็จในเบื้องต้นสี่ประการ ได้แก่ การฟื้นฟูระบอบสหพันธรัฐ การแก้แค้นโดยตรงเล็กน้อยต่อภาคใต้หลังสงคราม การที่คนผิวสีสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สิน และการสร้างสัญชาติตลอดจนกรอบการทำงานเพื่อความเท่าเทียมทางกฎหมายในท้ายที่สุด[4][5]