Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สภาพพลาสติกข้ามระบบประสาท[1] (อังกฤษ: cross modal plasticity) หรือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาท เป็นการเปลี่ยนการจัดระเบียบของนิวรอนเพื่อรวมส่วนของระบบประสาทรับความรู้สึกหลายระบบมาทำหน้าที่เดียวกัน เป็นสภาพพลาสติกของระบบประสาท (neuroplasticity) ประเภทหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเมื่อระบบประสาทขาดข้อมูลความรู้สึกที่มีเหตุจากโรคหรือความเสียหายในสมอง การจัดระเบียบใหม่ของเครือข่ายนิวรอนอยู่ในระดับที่สูงสุดถ้าภาวะขาดความรู้สึกเป็นแบบระยะยาว เช่นความบอดแต่กำเนิด หรือความหนวกก่อนรู้ภาษา ในกรณีเช่นนี้ สภาพพลาสติกข้ามระบบประสาทเป็นเหตุให้ระบบประสาทอื่นที่ไม่เสียหายเช่นการเห็นและ/หรือการได้ยิน มีสมรรถภาพเพิ่มขึ้นทดแทนระบบประสาทที่เสียหาย การเพิ่มสมรรถภาพอย่างนี้เกิดจากการเชื่อมต่อทางประสาทใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเชื่อมคอร์เทกซ์ที่ขาดข้อมูลความรู้สึกของตนไป
แม้ว่าคนตาบอดจะไม่สามารถเห็นได้ แต่คอร์เทกซ์สายตาที่ปกติทำหน้าที่ประมวลข้อมูลทางสายตา ยังปรากฏว่ามีการใช้งานอยู่ แม้ว่าจะใช้ประมวลข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลทางตา งานวิจัยพบว่า แม้ว่าปริมาตรของเนื้อขาว (white matter) ซึ่งเป็นเส้นประสาทประกอบด้วยแอกซอนมีปลอกไมอีลิน จะลดลงในลำเส้นใยประสาทตา (optic tract) แต่ปริมาตรของเนื้อขาวในคอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิกลับไม่ลดลง ถึงอย่างนั้น ก็ยังปรากฏว่า ปริมาตรเนื้อเทา (grey matter) ลดลงถึง 25% ในคอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิ การฝ่อของเนื้อเทา ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ประสาท น่าจะมีความสัมพันธ์กับความฝ่อของเนื้อขาวในลำเส้นใยประสาทตา[2] เพราะว่า ตาที่เสียหายไม่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเห็น การไม่ใช้ลำเส้นใยประสาทตาจึงนำไปสู่การสูญเสียปริมาตรเนื้อเทาในคอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิ เชื่อกันว่า การฝ่อของเนื้อขาวก็เกิดขึ้นเพราะเหตุเดียวกัน แม้ว่า จะมีการสูญเสียเนื้อขาวในคอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิที่น้อยกว่า
โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาท คอร์เทกซ์การได้ยินและคอร์เทกซ์สายตามีการเชื่อมต่อกันในคนที่ตาบอดตั้งแต่เยาว์วัยมากกว่าคนที่เห็นเป็นปกติ การเชื่อมต่อกันเช่นนี้ เพิ่มความสามารถของระบบการได้ยินของคนตาบอด ทำให้มีสมรรถภาพที่ดีกว่าในการงานเกี่ยวกับเสียงเช่นการตรวจจับเสียงพยางค์[3] แต่ว่า การเชื่อมต่อกันเช่นนี้ก็ทำให้ระบบการได้ยินต้องอาศัยคอร์เทกซ์สายตาในการตรวจจับเสียง[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง] การกำหนดตำแหน่งของเสียงในปริภูมิเกิดการขัดข้องได้ในผู้ที่ตาบอดตั้งแต่ในเยาว์วัย โดยการสร้างรอยโรคชั่วคราวในคอร์เทกซ์สายตา ผ่านการกระตุ้นประสาทด้วยสนามแม่เหล็กผ่านกะโหลก (transcranial magnetic stimulation)[4]
ก็เพราะการใช้คอร์เทกซ์สายตาเพื่อเพิ่มสมรรถภาพให้ระบบการได้ยิน กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทจึงประกอบระบบรับความรู้สึกทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง] และทำการประมวลข้อมูลเกี่ยวกับเสียงให้กระจัดกระจายไปในระบบรับความรู้สึกทั้งสอง[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง] ดังนั้น จึงมีระดับการทำงานที่น้อยลงในคอร์เทกซ์การได้ยิน (auditory cortex) โดยพบว่า คนตาบอดใช้ transverse temporal gyrus (หรือเรียกว่า Heschl’s gyri ซึ่งเป็นระบบแรกในเปลือกสมองที่รับสัญญาณข้อมูลเกี่ยวกับเสียง) น้อยกว่าคนปกติเมื่อทำงานที่ต้องตรวจจับเสียง[5] เพราะว่า ระบบสายตาสามารถที่จะทำหน้าที่ประมวลผลบางอย่างของระบบการได้ยิน Heschl’s gyri จึงไม่มีความสำคัญในการได้ยินในคนตาบอดเท่ากับคนปกติ
ในคนตาบอด คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกาย (somatosensory cortex) ก็สามารถที่จะเกณฑ์คอร์เทกซ์สายตาให้ช่วยแปลผลเกี่ยวกับความรู้สึกสัมผัสด้วย กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทเปลี่ยนการเชื่อมต่อกันของโครงสร้างในสมอง และนำไปสู่การเชื่อมต่อกันในระดับที่สูงขึ้นระหว่างคอร์เทกซ์ในระบบสายตาและระบบรับความรู้สึกทางกาย[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง] นอกจากนั้นแล้ว คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายยังเป็นศูนย์เชื่อมต่อกันของทางประสาทในสมองที่ไม่ปรากฏในคนที่มีตาปกติ[6] ด้วยการเปลี่ยนการเชื่อมต่อกันข้ามระบบประสาทอย่างนี้ คนที่ตาบอดตั้งแต่เยาว์วัยสามารถที่จะตอบสนองต่อตัวกระตุ้นทางสัมผัสได้รวดเร็วกว่าและแม่นยำกว่า เพราะว่ามีวิถีประสาทที่ใช้ในการแปลผลที่กว้างขวางกว่า
ส่วนหนึ่งของระบบการเห็นที่คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายสามารถกะเกณฑ์ก็คือทางสัญญาณด้านหลัง (dorsal stream ที่กล่าวถึงในสมมุติฐานทางสัญญาณสองทาง) คือ ปกติแล้ว ทางสัญญาณด้านหลังใช้สำหรับระบุตำแหน่งของวัตถุทางตาสำหรับบุคคลที่เห็นเป็นปกติ แต่คนที่ตาบอดตั้งแต่เยาว์วัยใช้ทางสัญญาณด้านหลังในการรับรู้สัมผัสของวัตถุสามมิติ[7] แต่ว่า ทั้งคนเห็นและคนบอดใช้ทางสัญญาณด้านหลังเพื่อแปลผลข้อมูลเกี่ยวกับปริภูมิ ซึ่งบอกเป็นนัยว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทปรับทางสัญญาณด้านหลังให้ทำงานเนื่องด้วยความรู้สึกสัมผัส แต่ไม่ใช่จะไปเปลี่ยนหน้าที่ของทางสัญญาณนั้นได้โดยทั้งหมด
มีหลักฐานว่า ระดับการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทระหว่างระบบรับความรู้สึกทางกายและระบบสายตานั้น ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ได้รับ ในงานวิจัยหนึ่งที่ใช้อุปกรณ์ติดไว้ที่ลิ้นที่ให้สัมผัสต่าง ๆ เพื่อส่งข้อมูลเกี่ยวกับปริภูมิ ผู้ที่ตาบอดแต่เยาว์วัยมีการทำงานในคอร์เทกซ์สายตา (ที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลสัมผัสจากอุปกรณ์นั้น) ภายในหนึ่งอาทิตย์หลังจากเริ่มฝึกใช้อุปกรณ์นั้น[8] คือ ถึงแม้ว่า จะไม่มีการเชื่อมต่อกันข้ามระบบประสาทตั้งแต่ต้น ผู้ที่ตาบอดแต่เยาว์วัยสามารถสร้างการเชื่อมต่อกันระหว่างคอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายและคอร์เทกซ์สายตา แต่คนตาดีที่เป็นกลุ่มควบคุมไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อกันอย่างนี้
ผู้ที่ตาบอดแต่เยาว์วัยหรือแต่กำเนิดจะมีการเชื่อมต่อกันข้ามระบบประสาทที่มีกำลังกว่าถ้าเริ่มหัดใช้อักษรเบรลล์ในวัยที่เยาว์กว่า[9] การเริ่มใช้อักษรเบรลล์ในวัยที่เยาว์กว่าเปิดโอกาสให้เกิดการเชื่อมต่อกันในระดับที่สูงกว่าในช่วงเวลาที่เด็กต้องใช้ความรู้สึกสัมผัสในการอ่านหนังสือแทนที่จะใช้สายตา และก็อาจจะเป็นเพราะการเชื่อมต่อกันข้ามระบบประสาทอย่างนี้นี่แหละ ที่งานวิจัยที่ทดสอบความรู้สึกแสดงว่า ความรู้สึกเกี่ยวกับสัมผัสในคนตาบอดมีความละเอียดกว่าคนปกติ[10][11] และความละเอียดอ่อนที่เพิ่มขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่มี[12]
กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยในบุคคลที่หูหนวกก่อนที่จะรู้ภาษา งานวิจัยที่ใช้เทคนิค fMRI พบว่า คนหูหนวกใช้ทั้งคอร์เทกซ์การได้ยินปฐมภูมิ (primary auditory cortex) ทั้งคอร์เทกซ์สายตาเมื่อกำลังดูคนใช้ภาษามือ[13] คือ ถึงแม้ว่า คอร์เทกซ์การได้ยินจะไม่ได้รับข้อมูลอะไร ๆ จากหู คนหูหนวกก็ยังใช้ส่วนบางส่วนในคอร์เทกซ์การได้ยินเพื่อแปลผลข้อมูลทางตา[14] สมรรถภาพของการรับรู้ความรู้สึกพื้นฐานต่าง ๆ เช่นการแยกแยกความสว่าง ความไวต่อความเปรียบต่างทางตา (visual contrast sensitivity) ระยะเวลาต่ำที่สุดที่แยกแยะได้ การรับรู้ระยะเวลา และการเคลื่อนไหวต่ำสุดที่ให้รู้ทิศทางได้ ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนไปเพราะการสูญเสียความรู้สึกเช่นการได้ยิน แต่ว่า การแปลผลในระดับที่สูงขึ้นไปอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อทดแทนความรู้สึกที่เสียไป ในกรณีของการสูญเสียการได้ยิน การทดแทนปรากฏที่การแปลผลของลานสายตารอบข้าง (periphery) และความสามารถในการตรวจจับความเคลื่อนไหวในลานสายตารอบข้าง[15]
คนหูหนวกไม่มีข้อมูลการได้ยิน ดังนั้น จึงมีการใช้คอร์เทกซ์การได้ยินเพื่อช่วยประมวลผลเกี่ยวกับข้อมูลทางตาและเกี่ยวกับภาษา การทำงานของคอร์เทกซ์การได้ยินของคนหูหนวกปรากกฏว่าขึ้นอยู่กับการใส่ใจ (attention) ด้วย แต่ว่า กระบวนการเกี่ยวกับความใส่ใจทางตาในคนหูหนวกบางอย่าง ไม่แตกต่างอย่างสำคัญระหว่างคนหูหนวกกับคนหูดี[16] คอร์เทกซ์การได้ยินมีการทำงานที่สูงเมื่อคนหูหนวกกำลังใส่ใจในตัวกระตุ้นทางตา และมีการทำงานที่ต่ำกว่าถ้าตัวกระตุ้นนั้นไม่สามารถที่จะเห็นได้[17] งานวิจัยหนึ่งพบว่า คนหูหนวกแปลข้อมูลเกี่ยวกับลานสายตารอบข้างได้เร็วกว่าคนหูดี[18] ความหนวกปรากฏว่าเพิ่มระดับการใส่ใจไปยังลานสายตารอบข้าง แต่ไม่เพิ่มระดับที่ลานสายตาส่วนกลาง[19] ดังนั้น สมองดูเหมือนจะทดแทนการสูญเสียการได้ยินโดยเพิ่มความใส่ใจให้กับลานสายตาด้านนอก แต่ว่า ความใส่ใจในลานสายตาส่วนกลางอาจจะเกิดความบกพร่อง[20]
การปรับเปลี่ยนมักจะจำกัดอยู่ในเขตสมองที่ปกติเกี่ยวข้องกับทั้งตัวกระตุ้นทางหูและตัวกระตุ้นทางตา ไม่ใช่เป็นการทำเขตการได้ยินโดยเฉพาะให้เป็นเขตการเห็น คือ การปรับปรุงให้ดีขึ้นของระบบสายตาดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในเขตสมองที่ปกติประสานข้อมูลทางตากับทางหู มีงานวิจัยหลายงานที่แสดงความเปลี่ยนแปลงในสมองกลีบขมับด้านหลัง (posterior parietal cortex) โดยเฉพาะในคนหูหนวก ซึ่งเป็นศูนย์สำคัญเกี่ยวกับการใส่ใจทางตา แต่ก็เป็นเขตที่รู้กันว่า ประสานข้อมูลจากระบบรับความรู้สึกต่าง ๆ[21]
งานวิจัยเร็ว ๆ นี้ แสดงว่า ในการทดสอบที่ต้องอาศัยความใส่ใจทางตาเช่นในการติดตามวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ หรือในการนับจำนวนวัตถุ คนหูหนวกไม่ได้มีสมรรถภาพที่ดีกว่าคนหูดี[22] แต่ว่า ก็ยังสามารถเห็นการแปลผลทางตาที่ดีกว่าในคนหูหนวก แม้ว่า บุคคลนั้นอาจจะไม่ได้กำลังใส่ใจต่อตัวกระตุ้นเฉพาะหน้า[23] งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2011 พบว่า คนหูหนวกแต่กำเนิดมีเขต neuroretinal rim[24] ในจานประสาทตา (optic disc[25]) ที่ใหญ่กว่าคนหูดี ซึ่งบอกเป็นนัยว่า คนหูหนวกอาจจะมี retinal ganglion cells[26] มากกว่า[27]
คนหูหนวกบ่อยครั้งใช้ภาษามือในการสื่อสาร แต่ว่า ภาษามือโดยลำพังไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนการจัดระเบียบในสมองอย่างสำคัญ และจริง ๆ แล้ว ข้อมูลจากการสร้างภาพสมอง (neuroimaging) และจากสรีรวิทยาไฟฟ้า ที่ศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่ของวิถีประสาทที่เกี่ยวกับการเห็น, และจากงานวิจัยที่ระงับระบบความรู้สึกในสัตว์ทดลอง แสดงว่าสมรรถภาพที่ดีขึ้นในการประมวลผลเกี่ยวกับความใส่ใจรอบ ๆ ลานสายตาที่พบในคนหูหนวก ไม่ปรากฏในคนหูดีที่มีพ่อแม่หูหนวกและใช้ภาษามือเป็นภาษาแรก[28] เช่น งานวิจัยปี ค.ศ. 2001 ที่ใช้ fMRI เปรียบเทียบคนหูหนวก คนหูดี และคนหูดีที่ใช้ภาษามือได้ตั้งแต่เยาว์วัย พบว่า คนหูดีทั้งสองพวกมีการทำงานเกี่ยวกับลานสายตารอบนอกเหมือนกัน ซึ่งต่างจากคนหูหนวก[29] และความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของการแปลผลเกี่ยวกับความใส่ใจในลานสายตารอบนอกที่พบในคนหูหนวกไม่ปรากฏในคนใช้ภาษามือที่สามารถได้ยิน ดังนั้น เป็นไปได้น้อยที่การใช้ภาษามือจะเป็นเหตุของความแตกต่างทางประสาทเกี่ยวกับการใส่ใจทางตา[20][30]
อีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทในคนหูหนวกก็คือ ผลที่เกิดขึ้นเนื่องจากการฝัง cochlear (หูชั้นในรูปหอยโข่ง) เทียม คือ ในบุคคลที่หูหนวกก่อนการรู้ภาษา สภาพพลาสติกข้ามระบบประสาทที่ได้เกิดขึ้นขัดขวางการแปลผลข้อมูลภาษาที่ได้ยินโดยใช้ cochlear เทียม เพราะในบุคคลที่หูหนวกก่อนการรู้ภาษา คอร์เทกซ์การได้ยินได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อประมวลผลข้อมูลทางตา ดังนั้น จึงไม่สามารถแปลผลข้อมูลความรู้สึกใหม่ที่ได้มาจาก cochlear เทียม แต่ว่า สำหรับบุคคลที่หูหนวกหลังรู้ภาษา ประสบการณ์ที่ได้มาจากตัวกระตุ้นทางตาเช่นการอ่านคำพูดจากปาก สามารถช่วยบุคคลนั้นให้เข้าใจคำพูดได้ดีกว่าเมื่อได้รับข้อมูลช่วยจาก cochlear เทียม ผู้หูหนวกหลังรู้ภาษาไม่ปรากฏการกะเกณฑ์คอร์เทกซ์การได้ยินให้ช่วยในการแปลผลทางการเห็นเท่ากับคนที่หูหนวกก่อนรู้ภาษา ดังนั้น จึงประสบผลสำเร็จที่ดีกว่ากับ cochlear เทียม[31]
นอกจากนั้นแล้ว ยังพบด้วยว่า คนหูหนวกหลังรู้ภาษาที่ได้รับ cochlear เทียม จะเริ่มมีการใช้คอร์เทกซ์สายตาในการประมวลผลเกี่ยวกับเสียง แม้ว่าจะหลับตาอยู่ แต่จะเป็นเสียงที่อาจจะมีความหมายเท่านั้น ตัวอย่างก็คือ คอร์เทกซ์สายตามีการทำงานเมื่อได้ยินเสียงเป็นคำ ไม่ใช่แต่เป็นเสียงสระเท่านั้น ผู้ทำงานวิจัยแสดงว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มีมาแต่เดิม แต่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการฝัง cochlear เทียม เท่านั้น และบุคคลที่ได้ยินเป็นปกติไม่ปรากฏการทำงานในคอร์เทกซ์สายตาในระดับที่เท่ากันเมื่อได้ยินเสียงเดียวกัน[32] การทำงานในลักษณะเช่นนี้เป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาทต้องอาศัยการใส่ใจและประสบการณ์
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.