![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/e2/Yoshida_signs_San_Francisco_Peace_Treaty.jpg/640px-Yoshida_signs_San_Francisco_Peace_Treaty.jpg&w=640&q=50)
สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก
From Wikipedia, the free encyclopedia
สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก (อังกฤษ: Treaty of San Francisco; ญี่ปุ่น: サンフランシスコ講和条約; โรมาจิ: San-Furanshisuko kōwa-Jōyaku) มีีอีกชื่อว่า สนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น (Treaty of Peace with Japan; ญี่ปุ่น: 日本国との平和条約; โรมาจิ: Nihon-koku to no Heiwa-Jōyaku) เป็นสนธิสัญญาที่สถาปนาความสัมพันธ์แบบสันติอีกครั้งระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับฝ่ายสัมพันธมิตรในนามของสหประชาชาติด้วยการยุติสถานะทางกฎหมายของสงคราม การครอบครองทางทหาร และจัดให้มีการชดใช้สำหรับการกระทำอันโหดร้ายจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง สนธิสัญญานี้ลงนามโดย 49 ประเทศในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1951 ที่โรงอุปรากรอนุสรณ์สงคราม ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย[2] ประเทศอิตาลีและจีนไม่ได้รับเชิญ โดยประเทศหลังเนื่องจากความไม่เห็นพ้องที่ว่าประเทศใดเป็นตัวแทนชาวจีนระหว่างสาธารณรัฐจีนหรือสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีก็ไม่ได้รับเชิญด้วยเหตุผลคล้ายกันว่าประเทศใดเป็นตัวแทนชาวเกาหลีระหว่างเกาหลีใต้หรือเกาหลีเหนือ[3]
สนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น | |
---|---|
![]() ชิเงรุ โยชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1951 ในโรงอุปรากรอนุสรณ์สงครามที่ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย | |
วันลงนาม | 8 กันยายน 1951; 72 ปีก่อน (1951-09-08) |
ที่ลงนาม | ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ |
วันมีผล | 28 เมษายน 1952; 72 ปีก่อน (1952-04-28) |
ผู้เจรจา |
|
ภาคี | ประเทศญี่ปุ่นกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง 48 ประเทศ |
ผู้เก็บรักษา | รัฐบาลสหรัฐอเมริกา |
ภาษา | |
![]() |
สนธิสัญญามีผลในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1952 โดยทำให้บทบาทของญี่ปุ่นในฐานะมหาอำนาจจักรวรรดิสิ้นสุด จัดสรรค่าชดเชยแก่ชายสัมพันธมิตรและอดีตเชลยศึกที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยุติการยึดครองญี่ปุ่นหลังสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร และคืนอำนาจอธิปไตยเต็มรูปแบบ สนธิสัญญานี้พึ่งพากฎบัตรสหประชาชาติ[4] กับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างมาก[5]เพื่อประกาศเป้าหมายของสัมพันธมิตร ในมาตราที่ 11 ประเทศญี่ปุ่นยอมรับข้อตัดสินของศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลและศาลอาชญากรรมสงครามฝ่ายสัมพันธมิตรอื่น ๆ ที่บังคับใช้กับญี่ปุ่นทั้งในและนอกประเทศ[6]