![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6c/Rabies_vaccine.png/640px-Rabies_vaccine.png&w=640&q=50)
วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า
From Wikipedia, the free encyclopedia
วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า เป็นวัคซีนที่ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า[6] ขณะนี้มีหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยทั้งสำหรับคนและสัตว์[6] สามารถใช้ป้องกันได้ทั้งก่อนและหลังสัมผัสโรค (เช่น การถูกสุนัขหรือค้างคาวกัด)[6]
![]() | |
รายละเอียดวัคซีน | |
---|---|
โรคที่เป็นข้อบ่งชี้ | พิษสุนัขบ้า |
ชนิด | เชื้อตาย |
ข้อมูลทางคลินิก | |
ชื่อทางการค้า | RabAvert, Rabipur, Rabivax, อื่น ๆ |
AHFS/Drugs.com | โมโนกราฟ |
MedlinePlus | a607023 |
ข้อมูลทะเบียนยา |
|
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ | |
ช่องทางการรับยา | ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย | |
ตัวบ่งชี้ | |
DrugBank | |
ChemSpider |
|
UNII | |
KEGG | |
![]() ![]() | |
![]() |
วัคซีนส่วนใหญ่จะให้ทางการฉีดเข้าผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ[6] การให้วัคซีนหลังการสัมผัสโรคนั้น มักให้ควบคู่กับการให้อิมมูโนโกลบูลินป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า[6] เป็นที่แนะนำโดยทั่วไปว่าผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะสัมผัสโรค[6] การให้วัคซีนพิษสุนัขบ้าในสุนัขยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อพิษสุนัขบ้ามาสู่คน[6]
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามีความปลอดภัยสำหรับทุกช่วงอายุ[6] อาการข้างเคียงที่อาจพบได้คือ อาการปวด หรือ แดง บริเวณผิวหนังที่ถูกฉีด (ประมาณร้อยละ 35-45) อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้คือ ไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน (ร้อยละ 5-15)[6] ไม่มีข้อห้ามในการให้วัคซีนหลังสัมผัสโรค เพราะไวรัสที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างมาก[6]
วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าชนิดแรกได้รับการเสนอใน ค.ศ. 1885 ตามมาด้วยวัคซีนที่พัฒนาใหม่ใน ค.ศ. 1908[7] ขณะนี้ทั่วโลก มีประชากรหลายล้านคนได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า[6] และได้รับการบรรจุลงในรายชื่อยาที่จำเป็นขององค์การอนามัยโลก[8]