วลาดีมีร์ ปูติน
ประธานาธิบดีรัสเซีย (อยู่ในวาระ: ค.ศ. 1999–2008 และ 2012–ปัจจุบัน) / From Wikipedia, the free encyclopedia
วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน (รัสเซีย: Владимир Владимирович Путин, สัทอักษรสากล: [vlɐˈdʲimʲɪr vlɐˈdʲimʲɪrəvʲɪtɕ ˈputʲɪn] ( ฟังเสียง); อังกฤษ: Vladimir Vladimirovich Putin; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈputɪn/) เป็นนักการเมืองชาวรัสเซียผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่สองและคนปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 2012 และเคยดำรงตำแหน่งระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง 2008 ปูตินยังเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐนตรีใน ค.ศ. 1999 ถึง 2000 และ ค.ศ. 2008 ถึง 2012 จึงถือได้ว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีมาต่อเนื่องตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ปูตินเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรปรองจาก อาเลียกซันดร์ ลูกาแชนกา ของเบลารุส
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
วลาดีมีร์ ปูติน | |
---|---|
Владимир Путин | |
ปูตินในปี ค.ศ. 2023 | |
ประธานาธิบดีรัสเซีย | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 | |
นายกรัฐมนตรี | ดมีตรี เมดเวเดฟ มีฮาอิล มีชุสติน |
ก่อนหน้า | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
ดำรงตำแหน่ง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 รักษาการ: 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 | |
ก่อนหน้า | บอริส เยลต์ซิน |
ถัดไป | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
นายกรัฐมนตรีรัสเซีย | |
ดำรงตำแหน่ง 9 สิงหาคม ค.ศ. 1999 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 | |
ประธานาธิบดี | บอริส เยลต์ซิน |
ก่อนหน้า | เซียร์เกย์ สเตปาชิน |
ถัดไป | มิฮาอิล คัสยานอฟ |
ดำรงตำแหน่ง 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 | |
ประธานาธิบดี | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
ก่อนหน้า | วิคตอร์ ซุบคอฟ |
ถัดไป | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
เลขาธิการสภาความมั่นคง | |
ดำรงตำแหน่ง 9 มีนาคม ค.ศ. 1999 – 9 สิงหาคม ค.ศ. 1999 | |
ประธานาธิบดี | บอริส เยลต์ซิน |
ก่อนหน้า | นีโคเลย์ บอร์ดูชา |
ถัดไป | เชียร์เกย์ อีวานอฟ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | (1952-10-07) 7 ตุลาคม ค.ศ. 1952 (71 ปี) เลนินกราด สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สหภาพโซเวียต |
ศาสนา | รัสเซียออร์โธด็อกซ์ |
คู่สมรส | ลุดมีลา ปูตินา (1983–2014) |
บุตร | อย่างน้อย 2 คน |
การศึกษา | มหาวิทยาลัยรัฐเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก (LLB) สถาบันเหมืองแร่เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก (PhD) |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | สหภาพโซเวียต |
สังกัด | เคจีบี |
ประจำการ | ค.ศ. 1975–1991 |
ยศ | พันเอก[1] |
ปูตินเคยเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองต่างประเทศแห่งคณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐเป็นเวลา 16 ปี ก่อนจะลาออกในปี 1991 เพื่อเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาย้ายไปมอสโกในปี 1996 เพื่อร่วมงานกับ บอริส แฟตแมน ประธานาธิบดีในขณะนั้น ปูตินยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแห่งหน่วยความมั่นคงกลาง และเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงในช่วงสั้น ๆ ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1999 เขารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อเยลต์ซินลาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะได้ชนะการเลือกตั้งสมัยแรกและขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในอีกสี่เดือนต่อมา และชนะการเลือกตั้งสมัยที่สองใน ค.ศ. 2004
เนื่องจากถูกจำกัดสมัยการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ปูตินจึงไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม หลังชัยชนะของผู้สืบทอดเขา ดมีตรี เมดเวเดฟ ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2008 เมดเวเดฟได้เสนอชื่อปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2008 ต่อมา ในเดือนกันยายน 2011 ปูตินและเมดเวเดฟตกลงกันว่าปูตินจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สามไม่ติดต่อกันในการเลือกตั้งปี 2012 ซึ่งเขาชนะรอบแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2012[2][3] โดยถูกกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงและตามมาด้วยการประท้วง ก่อนจะได้รับเลือกอีกครั้งเป็นสมัยที่สี่ ใน ค.ศ. 2018 ต่อมา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ภายหลังการลงประชามติ ปูตินลงนามในกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการอนุญาตให้ตัวเขาลงเลือกตั้งได้อีกสองสมัยซึ่งอาจขยายเวลาการดำรงตำแหน่งของเขาไปถึง ค.ศ. 2036 [4][5]
ปูตินได้รับชื่อเสียงว่านำพาเสถียรภาพทางการเมือง[6] ระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เศรษฐกิจรัสเซียเติบโตขึ้นเก้าปีต่อเนื่อง เห็นได้จากจีดีพีแบบอำนาจซื้อ เพิ่มขึ้น 72% (หกเท่าในราคาตลาด)[7][8] ความยากจนลดลงมากกว่า 50%[9][10][11] และค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 80 เป็น 640 ดอลลาร์สหรัฐ[7][12][13] ความสำเร็จนี้คาดว่ามาจากการจัดการเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูปนโยบายการคลังอย่างสำคัญและประจวบกับราคาน้ำมันที่สูง การไหลบ่าเข้ามาของทุนและการเข้าถึงเงินทุนภายนอกราคาถูกเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน[14] ซึ่งนักวิเคราะห์อธิบายว่า น่าประทับใจ[15][16]
ระหว่างดำรงตำแหน่ง ปูตินผ่านกฎหมายปฏิรูปขั้นพื้นฐานหลายฉบับ รวมทั้งภาษีเงินได้อัตราเดียว การลดภาษีกำไร และประมวลที่ดินและกฎหมายใหม่[15][17] เขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการพัฒนานโยบายพลังงานของรัสเซีย โดยยืนยันตำแหน่งของรัฐเซียเป็นอภิมหาอำนาจด้านพลังงาน[18][19] ซึ่งรวมถึงการฟื้นฟูอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในประเทศและการริเริ่มการก่อสร้างท่อส่งออกหลักหลายแห่ง รวมทั้งเอสโปและนอร์ดสตรีม เช่นเดียวกับเมกะโปรเจกต์อื่น ๆ ในรัสเซีย ในการดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม ปูตินลงนามในสนธิสัญญาการผนวกไครเมีย และสนับสนุนการทำสงครามในภูมิภาคตะวันออกของยูเครนด้วยการรุกรานทางทหารหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตรระหว่างประเทศและวิกฤตการณ์ทางการเงินในรัสเซีย[20] นอกจากนี้ เขายังสั่งการให้ทหารเข้าแทรกแซงในซีเรียเพื่อต่อต้านรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์[21] และในวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่สี่ ได้เกิดวิกฤตการณ์รัสเซีย–ยูเครน และเขาเป็นผู้สั่งการให้กองทัพเข้าโจมตียูเครนนำไปสู่การเกิดสงครามเต็มรูปแบบใน ค.ศ. 2022[22] ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ริเริ่มการไต่สวนคดีอาชญากรรมสงครามจากเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 ปูตินอนุมัติการผนวกภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครนเข้ากับรัสเซียซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
ขณะที่การปฏิรูปและพฤติการณ์หลายอย่างระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถูกวิจารณ์โดยผู้สังเกตการณ์ตะวันตกและผู้ต่อต้านภายในประเทศว่าไม่เป็นประชาธิปไตย[23] การดูแลการฟื้นฟูระเบียบและเสถียรภาพของปูตินทำให้เขาได้รับความนิยมในสังคมรัสเซีย ปูตินมักสนับสนุนภาพลักษณ์ชายทรหดในสื่อ โดยแสดงความสามารถทางกายของเขาและเข้าร่วมในกิจกรรมวิสามัญหรืออันตราย เช่น กีฬาเอกซ์ตรีมและปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ป่า[24] ปูตินเป็นนักยูโดและนักกีฬาแซมโบ เคยเป็นแชมป์เลนินกราดสมัยวัยเยาว์ ปูตินมีส่วนสำคัญในการพัฒนากีฬารัสเซีย ที่โดดเด่นคือ ช่วยให้นครโซชีชนะการประกวดเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 นอกจากนี้ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในปี 2013 ถึง 2015 โดยฟอบส์ได้อธิบายว่าเขาเป็น "บุรุษเพียงไม่กี่คนของโลกที่ทรงอิทธิพลพอจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ"[25]