ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2563
From Wikipedia, the free encyclopedia
ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2563 คือช่วงของฤดูกาลในอดีตที่เคยมีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนในซีกโลกเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นฤดูที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนมากที่สุดและสร้างความเสียหายสูงเป็นอันดับที่เจ็ดของแอ่งแอตแลนติกเหนือ นับเป็นฤดูกาลที่ห้าติดต่อกันแล้ว ที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนในแอ่งแอตแลนติกเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยนับแต่ฤดู 2559 แต่นับเป็นฤดูแรกที่มีกิจกรรมของพายุเป็นอย่างมากนับแต่ฤดู 2560 โดยฤดูกาลนี้ประกอบด้วย พายุหมุนเขตร้อนและพายุหมุนกึ่งเขตร้อนรวม 31 ลูก ซึ่งพายุหมุนทุกลูกยกเว้นพายุดีเปรสชันเขตร้อนสิบ ทวีกำลังแรงขึ้นในลำดับถัดไปทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีพายุดีเปรสชันทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนทั้งสิ้น 30 ลูก ในจำนวนนี้ 13 ลูกได้ทวีกำลังแรงต่อเป็นพายุเฮอริเคน และในจำนวนนี้ 6 ลูกมีกำลังเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ โดยที่มีกำลังแรงที่สุดคือ ไอโอตา มีกำลังเป็นพายุระดับ 5 ตามมาตราเฮอริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน[nb 1] และเป็นฤดูกาลที่สองที่มีการนำระบบการตั้งชื่อพายุด้วยชื่อของตัวอักษรกรีกมาใช้ (ครั้งแรกในฤดู 2548) ในบรรดาพายุที่ได้รับชื่อทั้ง 30 ลูก มีพายุอยู่จำนวน 12 ลูกที่พัดขึ้นฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ติดกัน (รัฐที่อยู่ติดกันของสหรัฐ) ซึ่งทำลายสถิติของการพัดขึ้นฝั่ง 9 ลูกในฤดู 2459 นอกจากนี้ยังเป็นฤดูกาลที่ห้าติดต่อกันแล้วที่มีพายุเฮอริเคนระดับ 5 อย่างน้อยหนึ่งลูก ในระหว่างฤดูกาล พายุโซนร้อนจำนวน 27 ลูกได้ทำลายสถิติการก่อตัวแรกสุดไปตามจำนวนพายุ ฤดูกาลนี้ยังมีพายุหมุนเขตร้อนที่มีการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ที่ 10 ลูก เทียบเท่ากับฤดู 2538[2] โดยกิจกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนี้เกิดจากลานีญา ที่ก่อตัวขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 2563
ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2563 | |
---|---|
แผนที่สรุปฤดูกาล | |
ขอบเขตฤดูกาล | |
ระบบแรกก่อตัว | 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 |
ระบบสุดท้ายสลายตัว | 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 |
พายุมีกำลังมากที่สุด | |
ชื่อ | ไอโอตา |
• ลมแรงสูงสุด | 160 ไมล์/ชม. (260 กม./ชม.) (เฉลี่ย 1 นาที) |
• ความกดอากาศต่ำที่สุด | 917 มิลลิบาร์ (hPa; 27.08 inHg) |
สถิติฤดูกาล | |
พายุดีเปรสชันทั้งหมด | 31 ลูก (สถิติสูงสุด, เท่ากับฤดู 2548) |
พายุโซนร้อนทั้งหมด | 30 ลูก (สถิติสูงสุด) |
พายุเฮอริเคน | 13 ลูก |
พายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ขึ้นไป) | 6 ลูก |
ผู้เสียชีวิตทั้งหมด | ≥ 409 คน |
ความเสียหายทั้งหมด | > 4.103 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงิน USD ปี 2020) |
ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก 2561, 2562, 2563, 2564, 2565 |
ฤดูกาลอย่างเป็นทางการนั้นเริ่มนับในวันที่ 1 มิถุนายน และสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน วันเหล่านี้เป็นขอบระยะเวลาตามประวัติศาสตร์ที่จะมีพายุก่อตัวขึ้นมากที่สุดในแอ่งแอตแลนติก อย่างไรก็ตามการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนสามารถก่อตัวได้ทุกเวลาในปี ดังที่ปรากฏในฤดู 2563 จากการก่อตัวของพายุโซนร้อนอาร์เทอร์และพายุโซนร้อนเบอร์ทา ในวันที่ 16 และ 27 พฤษภาคม ตามลำดับ จึงถือว่าเป็นฤดูกาลที่หกติดต่อกันแล้วที่มีพายุก่อตัวในลักษณะก่อนฤดูกาล (pre-season systems) ต่อมาพายุกริสโตบัลได้ก่อตัวขึ้นในวันแรกของเดือนมิถุนายน และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 15 คน ปลายเดือนกรกฎาคม พายุแฮนนา ได้เป็นพายุเฮอริเคนลูกแรกของฤดูกาล และพัดขึ้นฝั่งที่เซาท์เท็กซัส ตามด้วยพายุเฮอริเคนไอเซอัส ที่พัดขึ้นฝั่งที่บาฮามาสและรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยพายุทั้งสองมีความรุนแรงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 และสร้างความเสียหายไว้รวม 4.725 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[nb 2] ปลายเดือนสิงหาคม พายุลอราพัดขึ้นฝั่งที่รัฐลุยเซียนา เป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 และกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงที่สุดในแง่ความเร็วลมที่พัดขึ้นฝั่งรัฐลุยเซียนา ควบคู่กับพายุเฮอริเคนลาสต์ไอส์แลนด์ในปี 2399[3] พายุลอราสร้างความเสียหาย 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 77 คน เดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนมากที่สุดในสถิติของแอ่งแอตแลนติก โดยมีพายุได้รับชื่อจำนวนสิบลูก เริ่มจาก พายุนานา ซึ่งมีอิทธิพลต่อประเทศเบลีซในฐานะพายุเฮอริเคนระดับ 1, พายุเฮอริเคนพอเลตต์พัดขึ้นฝั่งที่เบอร์มิวดา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดู 2557 ก่อนจะมีการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน จากนั้นได้มีการก่อตัวขึ้นใหม่ (reformed) ใกล้กับอะโซร์สและมีการเคลื่อนไหวอยากผิดปกติ ก่อนจะสลายตัวไปในวันที่ 23 กันยายน, พายุเฮอริเคนแซลลีส่งผลกระทบกับรัฐในชายฝั่งอ่าวของสหรัฐ ส่งผลให้เกิดอุทกภัยอย่างหนัก ขณะที่พายุเฮอริเคนเทดดีได้ส่งผลกระทบกับเบอร์มิวดา ก่อนจะส่งผลกระทบกับแอตแลนติกแคนาดา (ด้านมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศแคนาดา) ในฐานะพายุหมุนนอกเขตร้อน จากนั้นจึงได้เริ่มมีการนำชื่อตัวอักษรกรีกมาใช้เป็นชื่อพายุ เริ่มต้นด้วย พายุกึ่งโซนร้อนแอลฟาซึ่งพัดขึ้นฝั่งประเทศโปรตุเกส เดือนตุลาคมเริ่มต้นด้วยพายุโซนร้อนแกมมาและพายุเฮอริเคนเดลตา ซึ่งทั้งคู่ได้ส่งผลกระทบกับคาบสมุทรยูกาตันของประเทศเม็กซิโก โดยต่อมาพายุเดลตาได้ส่งผลกระทบกับรัฐลุยเซียนา จึงกลายเป็นพายุลูกที่ 10 ที่พัดเข้าสหรัฐในฤดูกาลนี้ นอกจากนี้ พายุเฮอริเคนเซตาก็เคลื่อนผ่านคาบสมุทรยูกาตันด้วย ก่อนจะทำลายสถิติเป็นพายุลูกที่ห้าที่พัดขึ้นฝั่งที่รัฐลุยเซียนา จากนั้นจึงกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกแรกนับตั้งแต่พายุเฮอริเคนแซนดีในปี 2555 ที่สร้างหิมะ[4] ในวันสุดท้ายของเดืิอนตุลาคม พายุเฮอริเคนอีตาก่อตัวขึ้นและส่งผลกระทบกับอเมริกากลางเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน[5] และในที่สุดแล้ว พายุอีตาได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 189 คน และมีความเสียหาย 6.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นไม่นาน พายุโซนร้อนทีตาได้ก่อตัวขึ้น และพายุลูกสุดท้าย พายุไอโอตา ได้ก่อตัวขึ้นในแคริบเบียน ก่อนจะทวีกำลังแรงอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 5 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน นอกจากนี้ยังทำให้ฤดู 2563 นี้เป็นฤดูกาลเดียวที่มีพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ 2 ลูกในเดือนพฤจิกายน[6] โดยพายุไอโอตาทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในอเมริกากลาง ซึ่งเพิ่งได้รับผลกระทบจากพายุอีตาไป
ก่อนหน้านั้น ทางการสหรัฐได้แสดงความกังวลว่าฤดูพายุเฮอริเคนจะส่งผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกับประชากรในพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐได้[7][8] ดังแสดงไว้ในหน้าความเห็นพิเศษ (op-ed) ของวารสารแห่งสมาคมการแพทย์อเมริกัน ความว่า "มีความขัดแย้งกันโดยธรรมระหว่างกลยุทธ์ในการปกป้องประชากรจากอันตรายจากพายุเฮอริเคน นั่นคือ การอพยพ และการหลบภัย (เช่น การขนส่งและการรวบรวมผู้คนเข้ากันเป็นกลุ่ม)" และ "แนวทางการชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือ การเว้นระยะห่างทางกาย และการสั่งให้อยู่แต่บ้าน (เช่น การแยกและการกีดกันผู้คนออกจากกัน)"[9]