![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/5c/Great_Seal_of_the_United_States_%2528obverse%2529.svg/langth-640px-Great_Seal_of_the_United_States_%2528obverse%2529.svg.png&w=640&q=50)
ร่างรัฐบัญญัติหยุดยั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์
From Wikipedia, the free encyclopedia
ร่างรัฐบัญญัติหยุดยั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ (อังกฤษ: Stop Online Piracy Act, เรียกโดยย่อว่า "SOPA"), หรือรหัสว่า เอช.อาร์. 3261 (H.R. 3261), เป็นร่างรัฐบัญญัติที่ลามาร์ สมิธ (Lamar Smith) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2554 พร้อมเพื่อนสมาชิกสิบสองคนจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสอง มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความสามารถของฝ่ายบังคับใช้กฎหมายและของผู้ถือลิขสิทธิ์ในอันที่จะต่อต้านการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสินค้าปลอมในโลกออนไลน์[2] รัฐบัญญัตินี้ใช้รัฐบัญญัติส่งเสริมไอพี (PRO-IP Act) ที่ตราขึ้นเมื่อปี 2551 และร่างรัฐบัญญัติคุ้มครองไอพี (Protect IP Act) ที่วุฒิสภาแห่งสรัฐอเมริกาเสนอ เป็นแม่แบบ และบัดนี้ อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการด้านการยุติธรรมแห่งสภาผู้แทนราษฎร (House Judiciary Committee)[3]
![]() | |
---|---|
ชื่อเต็ม | "ร่างรัฐบัญญัติเพื่อส่งเสริมความผาสุกสิริสวัสดิ์ ความริเริ่มสร้างสรรค์ วิสาหกิจ และนวัตกรรม โดยกำราบการลักทรัพย์สินแห่งสหรัฐอเมริกา และเพื่อวัตถุประสงค์อื่นบรรดามี — เอช.อาร์. 3261" ("An Act to promote prosperity, creativity, entrepreneurship, and innovation by combating the theft of U.S. property, and for other purposes. — H.R. 3261")[1] |
ชื่อย่อ | SOPA |
การเรียก | |
การประมวล | |
ประวัติทางนิติบัญญัติ | |
| |
การแก้ไขเพิ่มเติมที่เป็นสาระสำคัญ | |
คดีที่เกี่ยวข้องของศาลสูงสุด | |
ร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวจักให้อำนาจกระทรวงยุติธรรม (Department of Justice) และผู้ถือลิขสิทธิ์ ร้องขอให้ศาลสั่งปราบปรามบรรดาเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวหาว่าจัดให้มีหรือส่งเสริมการละเมิดลิขสิทธิ์, สั่งห้ามบรรดาเครือข่ายโฆษณาออนไลน์หรือเครือข่ายช่วยรับชำระหนี้ออนไลน์ เป็นต้นว่า เพย์แพล (PayPal) คบค้าหากินกับเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์, สั่งห้ามโปรแกรมค้นหา (search engine) เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์เหล่านั้น และสั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้สะกัดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์เช่นว่า ร่างรัฐบัญญัตินี้ยังกำหนดให้การเข้าถึงโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งข้อมูลละเมิดลิขสิทธิ์เป็นความผิดอาญาอุกฉกรรจ์ ทั้งยังให้ถือว่า การใด ๆ ที่บรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตกระทำไปเพื่อต่อต้านเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่เป็นความผิดและไม่อยู่ในความรับผิดทุกประการ แต่ให้ผู้ถือลิขสิทธิ์ที่เจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่า เว็บไซต์ใดมีส่วนละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องรับผิดทางแพ่งต่อเว็บไซต์นั้น[4]
ผู้สนับสนุนรัฐบัญญัตินี้ว่า รัฐบัญญัติจักเป็นเครื่องช่วยพิทักษ์รักษาตลาดทรัพย์สินทางปัญญา อันรวมถึงการงานและรัษฎากรที่งอกเงยจากตลาดดังกล่าว ทั้งยังว่า เป็นคราวจำเป็นจะต้องเพิ่มศักยภาพให้แก่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อต่อต้านเว็บไซต์ต่างชาติเป็นการเฉพาะ[5] ขณะที่ผู้ไม่เห็นด้วยว่า รัฐบัญญัตินี้มีนัยเป็นการตรวจพิจารณาทางอินเทอร์เน็ต (internet censorship)[6] อันจะส่งผลให้โลกอินเทอร์เน็ตง่อยเปลี้ย[7] และคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย[8]
คณะกรรมาธิการด้านการยุติธรรมฯ จัดประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554[9] และเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ประธานกรรมาธิการคณะดังกล่าวมีกำหนดจะแปรญัตติร่างพระราชบัญญัตินี้ในวันที่ 15 ธันวาคม และว่า ยังอภิปราย และ "เปิดให้มีการปรับปรุง" ร่างรัฐบัญญัติกันได้อยู่[10]