รายพระนามและชื่อภรรยาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
บทความรายชื่อวิกิมีเดีย / From Wikipedia, the free encyclopedia
ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง ประชุมบทละคอนดึกดำบรรพ ฉบับบริบูรน์ พร้อมด้วยเรื่องประวัติเจ้าคุนพระประยูรวงส์และตำนานละคอนดึกดำบรรพ (พ.ศ. 2486) ได้ระบุถึงลำดับชั้นของภรรยาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แบ่งเป็น 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นพิเศษ ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม และชั้นที่สี่ โดยสังเกตจากเครื่องใส่หมากที่ได้รับพระราชทานเป็นสำคัญ ดังนี้[1]
- ชั้นพิเศษ สำหรับพระราชทานพระมเหสีเทวี เรียกในกฎมนเทียรบาลว่า พระภรรยาเจ้า ได้หีบและพานหมากเสวยทองคำลงยาราชาวดี
- ชั้นที่ 1 สำหรับพระสนมเอก ได้รับพระราชทานพานทอง หีบหมากลงยา และกระโถนทองคำ แต่ขนาดย่อมกว่าเครื่องยศฝ่ายหน้า
- ชั้นที่ 2 สำหรับเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมอยู่งานที่ได้รับพระเมตตา หรือที่เรียกว่า พระสนม ได้รับพระราชทานหีบหมากทองคำลงยาราชาวดี
- ชั้นที่ 3 สำหรับนางอยู่งานที่ทรงเลือกไว้ใกล้ชิดพระองค์ เรียกว่า เจ้าจอมอยู่งาน ได้รับพระราชทานหีบหมากทองคำ และบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าจอม
- ชั้นที่ 4 สำหรับนางอยู่งานที่ใช้สอยในพระราชมนเทียร ได้รับพระราชทานหีบหมากเงินกาไหล่ทอง แต่ไม่นับเป็นเจ้าจอม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการแต่งตั้งพระภรรยาเจ้า โดยการใช้คำนำหน้าพระนามเป็นครั้งแรก คือ สมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ในที่สมเด็จพระนางนาฏบรมอรรคราชเทวี และสมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ในที่สมเด็จพระนางนาถราชเทวี ก่อนหน้านี้ราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ไม่มีการตั้งพระภรรยาเจ้าพระองค์ใดเป็นพระอัครมเหสีอย่างเป็นทางการเลย[2] แต่ธรรมเนียมไทยในขณะนั้นยังไม่มีพระราชพิธีอภิเษกสมรส จึงให้นับว่าพระอัครมเหสีเป็นสมเด็จพระราชินี (Queen Consort) ตามอย่างสากล[3] ทว่าหลังพระอัครมเหสีสองพระองค์นั้นสวรรคต ก็มิทรงสถาปนาผู้ใดเป็นพระอัครมเหสีอีก แม้แต่พระภรรยาเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือ หม่อมเจ้าพรรณราย ได้รับการยกย่องเป็นเจ้าข้างใน แต่ไม่ได้สถาปนาพระอิสริยยศให้สูงขึ้นแต่ประการใด[4]
หนังสือพิมพ์ Bangkok Calender ฉบับ พ.ศ. 2406 ระบุว่าในปีนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระภรรยาถึง 34 คน และมีนางห้ามที่เป็นลูกขุนนางอีก 74 คน ที่บิดานั้นทูลเกล้าถวายเพื่อเป็นบาทบริจาริกา สรุปแล้วทรงมีเจ้าจอมหม่อมห้ามในพระองค์รวมกัน 108 คน[5] นอกจากนี้พระองค์ยังเคยส่งคณะราชทูตไปกรุงลอนดอน ทรงเสียพระทัยที่ไม่สามารถซื้อหญิงฝรั่งมาเป็นนางสนมได้ ต่างจากเวลาคณะทูตสยามไปกรุงจีน ทรงประกาศไว้ความว่า "อนึ่ง ถ้าอังกฤษจะนินทาว่าตื่นก็ควรแล้ว ด้วยเราเปนชาวป่าได้เข้าไปในเมืองสวรรค์ เสียใจอยู่แต่ว่า ถ้าเปนถึงเมืองสวรรค์แล้ว ผู้ที่ไปเปนแต่ไปชมนางเทพอัปสรกัญญา แต่จะซื้อมาเหมือนผู้หญิงจีนไม่ได้ ต้องกลับมาแผลงรัง ถ้ากระนั้นซื้อได้แต่เครื่องแต่งนางสวรรค์ มาแต่งนางมนุษย์เราที่นี้เล่นบ้างก็จะดีอยู่ พอดูเล่นประหลาด ๆ"[6] แม้จะมิได้หญิงฝรั่งมาเป็นบาทบริจาริกา แต่พระองค์มีพระสนมเป็นหญิงต่างด้าวรับราชการอยู่ เช่น เจ้าจอมมารดาดวงคำจากกรุงเวียงจันทน์ พระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวงจากกรุงกัมพูชา และตนกูสุเบียจากกรุงลิงกา[7] หากบาทบริจาริกาสองนางหลังนี้ประสูติกาลพระราชบุตร พระราชบุตรนั้นจะมีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าฟ้า เพราะมีมารดาเป็นเจ้าหญิงต่างด้าวหรือเป็นธิดาเจ้าประเทศราช[3] แต่เจ้าจอมทั้งสองก็มิได้ประสูติกาลพระราชบุตรเลย
บาทบริจาริกาเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน แอนนา ลีโอโนเวนส์ ครูสอนภาษาอังกฤษในราชสำนัก อธิบายว่าภายในเขตพระราชฐานชั้นในนั้นมีลักษณะเหมือนเป็นเมืองย่อม ๆ มีร้านรวง ถนน ตลาด และสวน ที่มีสตรีดูแลอยู่ทั้งหมด[8] หญิงที่ถวายตัวแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นมีมาก นอกจากการปรนนิบัติพัดวีพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็ล้วนมีหน้าที่อื่น ๆ กันตามสมควร เช่น เย็บปักถักร้อย ทำพวงมาลัย ทำอาหารคาวหวาน เป็นนางละครหรือนักดนตรีมโหรี และหลายคนไม่มีโอกาสได้ถวายตัวไปถึงห้องพระบรรทมของพระเจ้าอยู่หัวเลย[6] แอนนา ลีโอโนเวนส์กล่าวถึงกิจกรรมในราชสำนักและการปรนนิบัติของนางบาทบริจาริกาไว้ว่า "ตอนบ่าย 2 พระองค์ [พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว] ตื่นบรรทมเองโดยมีพวกผู้หญิงช่วยกันสรงน้ำและชโลมน้ำมันให้ จากนั้นพระองค์เสด็จไปยังห้องเสวยซึ่งจะจัดเสิร์ฟอาหารมื้อใหญ่สุดของวันถวาย พระองค์สนทนาปราศรัยกับบรรดาชายาและสนมคนโปรด พระองค์อุ้มลูก ๆ กอดลูก สรรหาคำถามชวนขันหรือน่าพิศวงมาถามลูก ๆ ไม่หยุดหย่อน ทั้งยังทำหน้าตาตลก ๆ หยอกล้อลูก ๆ วัยทารก ยิ่งโปรดแม่ก็ยิ่งรักลูก ความรักลูกเป็นคุณสมบัติอันหนักแน่นมั่นคงของผู้มีอำนาจเด็ดขาดหากโดดเดี่ยวเดียวดายผู้นี้ พวกเขามัดใจพระองค์ด้วยความน่ารักและความไว้วางใจ ทำให้พระองค์สดชื่นกระปรี้กระเปร่าไปกับท่าทางไร้เดียงสาของลูก ๆ ที่ช่างร่าเริง สง่างาม และน่าเอ็นดูนัก"[9]
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศไว้ ความว่า "อนึ่ง ผู้หญิงบ้านนอกขอกนา เปนลูกเลขไพร่หลวงไพร่สมทาสขุนนาง ในหลวงไม่เอาเปนเมียดอก เกลือกจะมีลูกออกมา จะเสียเกียรติยศ แต่ผู้นำผู้หญิงงาม ๆ มาให้ก็ดีใจอยู่ ด้วยจะให้มีกิตติศัพท์เล่าฤๅว่า ยังไม่ชราภาพนัก จึงมีผู้หาเมียให้เท่านั้นดอก จึงรับไว้แล้วให้หัดเปนลครบ้าง มโหรีบ้าง เล่นการต่าง ๆ ไปโดยสมควร จะได้ทำหม่นหมองในคนต่ำ ๆ เลว ๆ นั้นหามิได้ ถ้าบิดามารดามาร้องจะขอตัวคืนไป ฤๅตัวร้องจะออกเอง ก็ไปง่าย ๆ ดี ๆ ผู้หญิงนั้นก็บริสุทธิ์อยู่ไม่เศร้าหมอง"[6] และมีพระกรุณาอนุญาตให้เจ้าจอมหม่อมห้ามลาออกจากราชการได้ ยกเว้นแต่ผู้ที่มีพระราชบุตรกับพระเจ้าอยู่หัว เพราะเกรงว่าจะเสียเกียรติแห่งพระเจ้าลูกเธอ หญิงที่ออกจากราชการแล้วจะออกไปสมรสใหม่ก็ไม่ทรงห้าม ดังในประกาศความว่า "ใคร ๆ ไม่สบายจะใคร่กราบถวายบังคม ลาออกนอกราชการไปอยู่วังเจ้าบ้านขุนนางบ้านบิดามารดา จะมีลูกมีผัวให้สบายประการใด ก็อย่าให้กลัวความผิดเลย ให้กราบทูลถวายบังคมลาโดยตรง แล้วก็จะโปรดให้ไปตามปรารถนาโดยสะดวก ไม่กักขังไว้ แลไม่ให้มีความผิดแก่ผู้นั้นแลผู้ที่จะเป็นผัวนั้นเลย ห้ามแต่อย่าให้สนสื่อ หาชู้หาผัวแต่ตัวยังอยู่ในราชการ แต่เจ้าจอมมารดาในพระเจ้าลูกเธอ จะโปรดให้ออกนอกราชการไปมีผัวใหม่ไม่ได้ จะเสียเกียรติยศพระเจ้าลูกเธอไป เมื่อจะใคร่ออกนอกราชการ เพียงจะอยู่กับพระเจ้าลูกเธอไม่มีผัวก็จะทรงพระกรุณาโปรด"[6] หนังสือพิมพ์ Bangkok Calender ฉบับ พ.ศ. 2406 รายงานว่ามีบาทบริจาริกาทูลเกล้าถวายฎีกาขอออกจากราชการจำนวน 27 คน[6]