ระบอบนาซี
From Wikipedia, the free encyclopedia
ระบอบนาซี (เยอรมัน: Nazismus)[1] หรือชื่อทางการคือ ระบอบชาติสังคมนิยม (เยอรมัน: Nationalsozialismus) เป็นแนวปฏิบัติและอุดมการณ์ทางการเมืองแบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ[2] ขวาจัด[3] ที่เกี่ยวข้องกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมันหรือพรรคนาซีในนาซีเยอรมนี ในยุโรปในช่วงของการเถลิงอำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในคริสต์ทศวรรษ 1930 ระบอบมักถูกเรียกในอีกชื่อว่า ลัทธิฮิตเลอร์ (เยอรมัน: Hitlerfaschismus) คำที่มีความเกี่ยวข้องในภายหลังคำว่า "นีโอนาซี" ใช้หมายถึงกลุ่มการเมืองขวาจัดอื่น ๆ ที่มีแนวคิดคล้ายกันที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ระบอบนาซีเป็นลัทธิฟาสซิสต์รูปแบบหนึ่ง[4][5][6][7] ซึ่งดูถูกเหยียดหยามประชาธิปไตยเสรีนิยมและระบบรัฐสภา โดยรวมระบอบเผด็จการ[2] การต่อต้านยิวอย่างกระตือรือร้น การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ คตินิยมเชื้อชาติทางวิทยาศาสตร์ (scientific racism) และการใช้งานสุพันธุศาสตร์เข้าด้วยกันเป็นหลักความเชื่อของระบอบ ความเป็นชาตินิยมสุดโต่งของมันมีต้นตอมาจากอุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมันและขบวนการชาตินิยมชาติพันธุ์ (ethnic nationalism) นีโอเพแกน (neopagan) นามว่าขบวนการเฟิลคิช (Völkisch movement) ซึ่งได้กลายมาเป็นลักษณะสำคัญของชาตินิยมเยอรมัน (German nationalism) นับแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และยังได้รับอิทธิพลโดดเด่นจากกองกำลังกึ่งทหารไฟรคอร์ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นแหล่งที่มาของ "ลัทธิบูชาความรุนแรง" (cult of violence) ที่เป็นพื้นเดิมของพรรค[8] ระบอบนาซีเห็นด้วยกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์เทียมที่เกี่ยวกับลำดับชั้นทางเชื้อชาติ (racial hierarchy)[9] และทฤษฎีดาร์วินทางสังคม นาซีกล่าวอ้างว่าชาวเยอรมันเป็นเชื้อชาติอารยะที่สูงส่งที่สุด[10] โดยระบุว่าชาวเยอรมันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พวกนาซีถือว่าคือเชื้อชาติเจ้านายเชื้อชาติอารยัน (Aryan race) หรือนอร์ดิก (Nordic race)[11] โดยมีเป้าหมายเพื่อก้าวข้ามความแบ่งแยกในสังคมและสร้างสังคมเยอรมันที่เป็นเอกพันธุ์ (Homogeneity and heterogeneity) บนฐานของความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติซึ่งเป็นภาพแทนของประชาคมของประชาชน (ฟ็อลค์สเกอไมน์ชัฟท์ (Volksgemeinschaft)) พวกนาซีมุ่งที่จะเชื่อมผสานชาวเยอรมันทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของเยอรมนีในประวัติศาสตร์เข้าด้วยกัน และหาแผ่นดินมาเพิ่มสำหรับการขยายตัวของเยอรมนีภายใต้หลักการเลเบินส์เราม์ และกีดกันผู้ใดก็ตามที่พวกเขามองว่าเป็นคนต่างด้าวในประชาคม (community alien) หรือเป็นเชื้อชาติที่ "ต่ำกว่า" (อุนเทอร์เม็นช์)
คำว่า "ชาติสังคมนิยม" เกิดขึ้นจากความพยายามในการให้นิยามใหม่กับ สังคมนิยม ให้เป็นทางเลือกแทนไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยมสากลนิยมมากซิสต์หรือทุนนิยมตลาดเสรีก็ตาม ระบอบนาซีปฏิเสธแนวคิดมากซิสต์เกี่ยวกับการต่อสู้ทางชนชั้นและความเสมอภาคอันเป็นสากล ต่อต้านสากลนิยม (internationalism (politics)) พลเมืองโลก (cosmopolitanism) และต้องการโน้มน้าวใจสังคมเยอรมันใหม่ในทุกภาคส่วนให้วางผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาอยู่ใต้ "ประโยชน์ส่วนรวม" (common good) และยอมรับเอาผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นเป้าหมายหลักของการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ[12] ซึ่งมักตรงกับทัศนะทั่วไปของคติรวมหมู่ (collectivism) หรือประชาคมนิยม (communitarianism) มากกว่าจะเป็นสังคมนิยมเศรษฐศาสตร์ ต้นเค้าของพรรคนาซี กล่าวคือพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ซึ่งต่อต้านยิวและเป็นชาตินิยมรวมกลุ่มเยอรมัน ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1919 และจนกระทั่งช่วงตั้นคริสต์ทศวรรษ 1920 พรรคถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมันเพื่อดึงดูดกรรมกรที่นิยมการเมืองฝ่ายซ้าย[13] ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชื่อที่ฮิตเลอร์ต่อต้านในตอนแรก[14] แนวนโยบายชาติสังคมนิยม (National Socialist Program) หรือแนวนโยบาย "25 ข้อ" ถูกรับมาใช้ใน ค.ศ. 1920 และเรียกร้องให้มีเยอรมนีใหญ่ที่เป็นปึกแผ่นที่จะไม่ให้ชาวยิวหรือบุคคลที่เป็นทายาทชาวยิวเป็นพลเมือง และในขณะเดียวกันสนับสนุนการปฏิรูปที่ดินและการโอนบางอุตสาหกรรมมาเป็นของรัฐ ในไมน์คัมพฟ์ ซึ่งแปลว่า "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" ที่เผยแพร่ระหว่าง ค.ศ. 1925 และ 1926 ฮิตเลอร์ได้ร่างเค้าโครงให้การต่อต้านยิวและการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นใจกลางของปรัชญาการเมืองของเขา เช่นเดียวกันกับความรังเกียจของเขาต่อประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนและความเชื่อว่าประเทศเยอรมนีถือสิทธิที่จะขยายเขตแดนของตัวเองออกไป[15]
พวกเขากล่าวอ้างว่าความอยู่รอดของประเทศเยอรมนีในฐานะชาติที่ยิ่งใหญ่ในสมัยใหม่นี้จำต้องสร้างระเบียบโลกใหม่ขึ้น เป็นจักรวรรดิในทวีปยุโรปซึ่งจะทำให้ชาติเยอรมันมีผืนดินขนาดใหญ่ ทรัพยากร ตลอดจนการขยายตัวของประชากรที่จำเป็นต่อการแข่งขันกับมหาอำนาจอื่น ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร[16]
พวกนาซีกล่าวอ้างว่าชาวยิวเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดของเชื้อชาติอารยะเยอรมัน พวกเขาพิจารณาว่าชาวยิวเป็นเชื้อชาติเบียดเบียนซึ่งแนบตนเองเข้ากับอุดมการณ์และขบวนการอื่น ๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของตนเอง อาทิ การเรืองปัญญา เสรีนิยม ประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ทุนนิยม การกลายเป็นอุตสาหกรรม มาร์กซิสต์ และสหภาพแรงงาน[17]
เพื่อกอบกู้เยอรมนีจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีเสนอตำแหน่งที่สามในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจภายใต้การจัดการซึ่งมิใช่ทั้งทุนนิยมหรือคอมมิวนิสต์[18][19] นาซีกล่าวโทษคอมมิวนิสต์และทุนนิยมว่าเข้าร่วมกับอิทธิพลและผลประโยชน์ของชาวยิว[20] พวกเขาสนับสนุนสังคมนิยมรูปแบบชาตินิยมซึ่งเป็นหลักการสำหรับเชื้อชาติอารยันและชาติเยอรมัน: ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โครงการสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ใช้แรงงาน ค่าจ้างที่ยุติธรรม เกียรติยศสำหรับความสำคัญของผู้ใช้แรงงานที่มีต่อชาติ และการป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของทุนนิยม[21]
พรรคนาซีได้รับส่วนแบ่งคะแนนเสียงของประชาชนสูงที่สุดในการเลือกตั้งสมาชิกไรชส์ทาคเป็นการทั่วไปทั้งสองครั้งใน ค.ศ. 1932 ทำให้เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในสภานิติบัญญัติอย่างชัดเจน แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับเป็นเสียงส่วนใหญ่ทีเดียว (37.3 % เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1932 (July 1932 German federal election) และ 33.1 % เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 (November 1932 German federal election)) แต่ในเมื่อไม่มีพรรคใดต้องการหรือสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ ประธานาธิบดีเพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค จึงได้แต่งตั้งฮิตเลอร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 ด้วยแรงสนับสนุนและความรู้เห็นเป็นใจจากนักชาตินิยมอนุรักษ์นิยมจารีตประเพณีซึ่งเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถควบคุมฮิตเลอร์และพรรคของเขาได้ ในไม่ช้าพวกนาซีก็สถาปนารัฐพรรคการเมืองเดียวและเริ่มดำเนินการไกลช์ชัลทุง โดยใช้รัฐกำหนดของประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไวมาร์ (Weimar Constitution) ซึ่งให้อำนาจกับคณะรัฐมนตรีในการปกครองผ่านการออกฎหมายโดยตรงได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านทั้งประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คหรือสภาไรชส์ทาคก็ตาม
ชตวร์มอัพไทลุง (SA) และชุทซ์ชตัฟเฟิล (SS) ทำหน้าที่เป็นองค์กรกึ่งทหารของพรรคนาซี ในช่วงกลาง ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์ใช้กองกำลัง SS กวาดล้างปีกของพรรคซึ่งมูลวิวัติในทางสังคมและเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้นำของ SA ด้วย เหตุการณ์เป็นที่รู้จักในชื่อคืนมีดยาว อำนาจทางการเมืองหลังจากอสัญกรรมของประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1934 ถูกรวมศูนย์เข้าเงื้อมมือฮิตเลอร์ เขาจึงได้กลายเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลในตำแหน่งฟือเรอร์อุนท์ไรช์คันท์ซเลอร์ซึ่งแปลว่า "ผู้นำและนายกรัฐมนตรีเยอรมนี" (ดูเพิ่มที่การลงประชามติในประเทศเยอรมนี ค.ศ. 1934 (1934 German referendum)) นับแต่นั้นมา ในทางปฏิบัติ ฮิตเลอร์ได้กลายเป็นผู้เผด็จการนาซีเยอรมนีหรือในอีกชื่อว่าไรช์ที่สาม ซึ่งภายใต้เขานั้น ชาวยิว ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และองค์ประกอบ "อันไม่พึงประสงค์" อื่น ๆ จะถูกเบียดตกขอบ คุมขัง หรือฆ่า ผู้คนหลายล้านคนซึ่งรวมถึงประชากรยิวกว่าสองในสามที่อยู่ในยุโรปถูกฆ่าหมดสิ้นไปในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อฮอโลคอสต์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สองและการค้นพบขอบเขตเต็มของเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ อุดมการณ์นาซีจึงกลายเป็นความอัปยศโดยสากล และถูกถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นความผิดศีลธรรมและความชั่วร้าย โดยมีเพียงกลุ่มเหยียดเชื้อชาติตกขอบจำนวนน้อยเท่านั้นที่กล่าวว่าตนเป็นผู้ติดตามอุดมการณ์ชาติสังคมนิยม โดยมักถูกเรียกว่าเป็นนีโอนาซีที่แปลว่านาซีใหม่