ผู้ใช้:Pilarbini/กระบะทราย/ถุงยางอนามัย
From Wikipedia, the free encyclopedia
ถุงยางอนามัย (อังกฤษ: condom) เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิด ที่นิยมใช้กันมากที่สุดในขณะร่วมเพศ ทำด้วยวัสดุจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน โดยมีทั้งแบบสำหรับผู้ชายและผู้หญิง[1] ฝ่ายชายใช้โดยการสวมครอบอวัยวะเพศชายที่กำลังแข็งตัวก่อนการร่วมเพศ[2][3] โดยน้ำอสุจิที่หลั่งออกมาถูกเก็บไว้ในถุงยางอนามัย ช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์และลดความเสี่ยงในการได้รับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส เอดส์ หนองใน การติดเชื้อทริโคโมแนส และ คลามายเดีย[3]
![Thumb image](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/cc/Condom_rolled.jpg/640px-Condom_rolled.jpg)
ถุงยางอนามัยชายส่วนมากผลิตจากยางพารา แต่ก็มีบ้างที่ผลิตจากวัสดุอื่น เช่น โพลียูรีเทน หรือ ลำไส้ของลูกแกะ[3] ข้อดีของถุงยางอนามัยชายคือความสะดวก ง่ายต่อการใช้งาน และผลข้างเคียงที่ืต่ำ[3] ผู้มีอาการแพ้ยางพาราควรใช้ถุงยางอยามัยที่ผลิตจากโพลียูรีเทนหรือวัสดุสังเคราะห์แบบอื่นแทน[3] ส่วนถุงยางอนามัยสำหรับสตรีมักผลิตจากโพลียูรีเทน และมักใช้ซ้ำได้หลายครั้ง[2] ถุงยางอนามัยสำหรับชายเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ราคาไม่แพง ใช้งานง่าย ผลข้างเคียงน้อย และใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ถ้าใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้เพียง 2% ต่อปี[3] ทว่าในการใช้งานแบบทั่วไปแล้ว โอกาสการตั้งครรภ์อยูที่ 18% ต่อปี[4]
ถุงยางอนามัยถูกนำมาใช้งานในรูปแบบอื่นๆมากมายเพราะคุณสมบัติที่ทนทาน กันน้ำ และยืดหยุ่นได้ดี โดยนำมาใช้ผลิตไมโครโฟนกันน้ำเพื่ออัดเสียงใต้น้ำ[5] เรื่อยไปจนใช้กันปืนไรเฟิลติดขัด[6]
มีหลักฐานการใช้ถุงยางอนามัยครั้งแรกสุดในประวัติศาสตร์ อย่างน้อยเมื่อ 400 ปีที่แล้ว การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งที่เป็นปัญหา เช่น การทิ้งถุงยางอนามัยอย่างไม่เหมาะสมทำให้เกิดปัญหาจากขยะและศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็ต่อต้านการใช้ถุงยางอนามัยด้วย
ถุงยางอนามัยถูกใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2107 [3] ถุงยางอนามัยซึ่งทำจากยางถูกทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2398 ตามมาด้วยถุงยางอนามัยซึ่งทำจากยางพาราในช่วง พ.ศ. 2443[7][8] ถุงยางอนามัยถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อยาหลักขององค์การอนามัยโลก[9] ราคาของถุงยางอนามัยในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 15 ถึง 35 บาทต่อชิ้น[10] ทั่วโลกต่ำกว่า 10% ของวิธีคุมกำเนิดคือการใช้ถุงยางอนามัย[11] โดยประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการใช้ที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา[11] ถุงยางเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ถูกใช้มากที่สุดเป็นอันดับสอง (22%) ในสหราชอาณาจักร และอันดับสาม (15%) ในสหรัฐอเมริกา[12][13] ในแต่ละปีถุงยางอนามัยถูกขายทั้งหมดประมาณหกถึงเก้าพันล้านอัน[14]