ประวัติศาสตร์รัสเซีย
From Wikipedia, the free encyclopedia
ประวัติศาสตร์รัสเซียเริ่มต้นด้วยประวัติศาสตร์ของชาวสลาฟตะวันออก วันเริ่มต้นตามประเพณีของประวัติศาสตร์รัสเซียโดยเฉพาะคือการสถาปนารัฐรุสทางตอนเหนือใน พ.ศ. 1405 ซึ่งปกครองโดยชาววารันเจียน ใน พ.ศ. 1425 เจ้าชายออลิกูแห่งนอฟโกรอด ทรงยึดเคียฟโดยรวมดินแดนทางเหนือและทางใต้ของสลาฟตะวันออกไว้ภายใต้อำนาจเดียว ย้ายศูนย์การปกครองไปยังเคียฟในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 และบำรุงรักษาพื้นที่ทางตอนเหนือและทางใต้โดยมีความเป็นอิสระจากกันอย่างมีนัยสำคัญ รัฐรับเอาศาสนาคริสต์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์ใน พ.ศ. 1581 โดยเริ่มต้นการสังเคราะห์วัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งกำหนดวัฒนธรรมรัสเซียต่อไปในสหัสวรรษหน้า ท้ายที่สุด รุสเคียฟก็สลายตัวเป็นรัฐเนื่องจากการรุกรานของมองโกลใน พ.ศ. 1780–1783 หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 13 มอสโกกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดทางการเมืองและวัฒนธรรมในการรวมดินแดนรัสเซียเข้าด้วยกัน เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 อาณาเขตเล็ก ๆ หลายแห่งรอบ ๆ มอสโกได้รวมตัวกับแกรนด์ดัชชีมอสโก ซึ่งเข้าควบคุมอำนาจอธิปไตยของตนเองอย่างเต็มที่ภายใต้การนำของอีวานมหาราช
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
อีวานผู้เหี้ยมโหดได้เปลี่ยนแกรนด์ดัชชีให้เป็นอาณาจักรซาร์แห่งรัสเซียใน พ.ศ. 2090 อย่างไรก็ตาม การสวรรคตของฟีโอดอร์ที่ 1 พระราชโอรสของอีวานโดยไม่มีปัญหาใน พ.ศ. 2141 ได้ก่อให้เกิดวิกฤติการสืบราชบัลลังก์ และนำรัสเซียเข้าสู่ยุคแห่งความโกลาหลและสงครามกลางเมืองที่รู้จักกันในชื่อสมัยแห่งความวุ่นวาย (Time of Troubles) ซึ่งจบด้วยพิธีราชาภิเษกของมีฮาอิล โรมานอฟในฐานะซาร์องค์แรกของราชวงศ์โรมานอฟใน พ.ศ. 2156 ระหว่างช่วงที่เหลือของคริสต์ศตวรรษที่ 17 รัสเซียเสร็จสิ้นการสำรวจและพิชิตไซบีเรีย โดยอ้างสิทธิ์ในดินแดนไกลถึงมหาสมุทรแปซิฟิกภายในสิ้นศตวรรษ ภายในประเทศ รัสเซียเผชิญกับการลุกฮือของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากมายภายใต้การควบคุมของรัสเซีย ตัวอย่างเช่นสเตนกา ราซิน ผู้นำคอสแซ็กซึ่งเป็นผู้นำการก่อกบฏใน พ.ศ. 2213–2214 ใน พ.ศ. 2264 หลังมหาสงครามเหนือ ซาร์ปีเตอร์มหาราชได้เปลี่ยนชื่อรัฐเป็นจักรวรรดิรัสเซีย พระองค์ยังมีชื่อเสียงจากการสถาปนาเซนต์ปีเตอส์เบิร์กให้เป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิของพระองค์ และสำหรับการแนะนำวัฒนธรรมยุโรปตะวันตกให้กับรัสเซีย ใน พ.ศ. 2305 รัสเซียตกอยู่ภายใต้การปกครองของเยกาเจรีนามหาราชินี ซึ่งยังคงดำเนินนโยบายแบบตะวันตกของจักรพรรดิปีเตอร์มหาราช และนำไปสู่ยุคเรืองปัญญาของรัสเซีย อะเลคซันดร์ที่ 1 พระราชนัดดาของเยกาเจรีนา ขับไล่การรุกรานของจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ส่งผลให้รัสเซียก้าวเข้าสู่สถานะเป็นหนึ่งในมหาอำนาจ
การปฏิวัติของชาวนาทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงจุดสูงสุดเมื่อจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 ทรงประกาศเลิกทาสใน พ.ศ. 2404 ในทศวรรษต่อ ๆ มา ความพยายามในการปฏิรูป เช่น การปฏิรูปสโตลืยปินใน พ.ศ. 2449-2457 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2449 และสภาดูมารัฐ (พ.ศ. 2449-2460) พยายามที่จะเปิดและเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและระบบการเมือง แต่จักรพรรดิปฏิเสธที่จะละทิ้งการปกครองแบบอัตตาธิปไตยและต่อต้านการแบ่งปันอำนาจของพวกเขา การผสมผสานระหว่างการพังทลายทางเศรษฐกิจ การจัดการที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และความไม่พอใจต่อระบบเผด็จการของรัฐบาล ทำให้เกิดการปฏิวัติรัสเซียใน พ.ศ. 2460 การสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ในตอนแรกนำแนวร่วมระหว่างเสรีนิยมและนักสังคมนิยมสายกลางเข้ามาดำรงตำแหน่ง แต่นโยบายที่ล้มเหลวนำไปสู่การปฏิวัติเดือนตุลาคม ใน พ.ศ. 2465 สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย พร้อมด้วยสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเบียโลรัสเซีย และ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทรานส์คอเคซัส ได้ลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการก่อตั้งสหภาพโซเวียต โดยได้รวมสาธารณรัฐทั้งสี่อย่างเป็นทางการเพื่อจัดตั้งสหภาพโซเวียตเป็นรัฐเดียว โดยพื้นฐานแล้ว ระหว่าง พ.ศ. 2465 ถึง พ.ศ. 2534 ประวัติศาสตร์รัสเซียได้กลายเป็นประวัติศาสตร์สหภาพโซเวียต ในช่วงเวลานี้ สหภาพโซเวียตเป็นหนึ่งในประเทศที่ชนะในสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากฟื้นตัวจากการรุกรานอย่างไม่คาดคิดใน พ.ศ. 2484 โดยเยอรมนีนาซีและผู้ร่วมมือกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกับสหภาพโซเวียต เครือข่ายรัฐบริวารของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออก ซึ่งถูกนำเข้าสู่ขอบเขตอิทธิพลในช่วงสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วยให้ประเทศกลายเป็นมหาอำนาจที่แข่งขันกับสหรัฐและประเทศตะวันตกอื่น ๆ ในสงครามเย็น
ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 เมื่อความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของโซเวียตเริ่มรุนแรง มีฮาอิล กอร์บาชอฟจึงเริ่มดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่ความอ่อนแอของพรรคคอมมิวนิสต์และการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ปล่อยให้รัสเซียอยู่ตามลำพังอีกครั้งและเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์รัสเซียหลังยุคโซเวียต สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นสหพันธรัฐรัสเซียและกลายเป็นรัฐผู้สืบทอดลำดับแรกของสหภาพโซเวียต รัสเซียยังคงรักษาคลังแสงนิวเคลียร์เอาไว้ แต่สูญเสียสถานะมหาอำนาจไป ผู้นำคนใหม่ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ล้มเลิกการวางแผนส่วนกลางและการเป็นเจ้าของทรัพย์สินของรัฐในยุคโซเวียตในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ปูตินเข้ามามีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจหลัง พ.ศ. 2543 และดำเนินนโยบายต่างประเทศที่กล้าแสดงออก การผนวกคาบสมุทรไครเมียของรัสเซียใน พ.ศ. 2557 ทำให้เกิดการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่นำโดยสหรัฐและสหภาพยุโรป การรุกรานยูเครนโดยรัสเซียใน พ.ศ. 2565 นำไปสู่การคว่ำบาตรที่ขยายออกไปอย่างมาก ภายใต้การนำของปูติน การทุจริตในรัสเซียได้รับการจัดอันดับว่าเลวร้ายที่สุดในยุโรป และสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของรัสเซียก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ