จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี
From Wikipedia, the free encyclopedia
จักรพรรดินีฟาราห์ ปาห์ลาวี (เปอร์เซีย: شهبانو فرح پهلوی) เป็นพระอัครมเหสีในพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน และจักรพรรดินีพระองค์เดียวของอิหร่านในยุคปัจจุบัน หลังจากการปฏิวัติอิหร่าน พระองค์ได้ใช้พระชนม์ชีพส่วนใหญ่อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[3]
ฟาราห์ ปาห์ลาวี | |
---|---|
พระอัครมเหสีแห่งอิหร่าน (ชาห์บานู) | |
พระฉายาลักษณ์อย่างเป็นทางการ ค.ศ.1973 | |
สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน | |
ระหว่าง | 21 ธันวาคม 1959 – 20 มีนาคม 1961 |
ก่อนหน้า | โซรยา อัสฟานดิยารี-บักติยารี |
ถัดไป | ราชาธิปไตยถูกล้มล้าง |
สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอิหร่าน | |
ระหว่าง | 20 มีนาคม 1961[1] – 11 กุมภาพันธ์ 1979 |
ราชาภิเษก | 26 ตุลาคม 1967 |
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง |
ถัดไป | ราชาธิปไตยถูกล้มล้าง |
พระราชสมภพ | (1938-10-14) 14 ตุลาคม ค.ศ. 1938 (85 ปี) กรุงเตหะราน[2] จักรวรรดิอิหร่าน ฟาราห์ ดีบา |
คู่อภิเษก | พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (อภิเษกสมรส ค.ศ.1959 ; สวรรคต ค.ศ.1980) |
พระราชบุตร | |
ราชวงศ์ | ปาห์ลาวี (อภิเษกสมรส) |
พระราชบิดา | โซห์รับ ดีบา |
พระราชมารดา | ฟาริเดห์ ฆอตไบ |
ลายพระอภิไธย |
ฟาราห์พระราชสมภพมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ความมั่งคั่งเหล่านั้นลดลงเมื่อบิดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในขณะที่ฟาราห์ศึกษาด้านสถาปัตยกรรมในกรุงปารีส ก็ทรงได้รับการแนะนำให้รู้จักกับพระเจ้าชาห์ที่สถานทูตอิหร่าน และต่อมาก็ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1959 การอภิเษกสมรสสองครั้งก่อนหน้าของพระเจ้าชาห์นั้นมิได้ให้กำเนิดพระราชโอรส ซึ่งพระโอรสมีความจำเป็นสำหรับการสืบราชบัลลังก์ ดังนั้นการที่พระนางฟาราห์มีพระสูติกาลเจ้าชายเรซา มกุฎราชกุมารในเดือนตุลาคมปีถัดมา ได้สร้างความปีติยินดีมาสู่ราชวงศ์อย่างมาก จักรพรรดินีฟาราห์ทรงแสวงหาความสนพระทัยในเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากหน้าที่ในครัวเรือน แม้ว่าพระนางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเกี่ยวข้องในบทบาททางการเมือง พระนางจึงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการกุศลมากมาย และทรงก่อตั้งมหาวิทยาลัยรูปแบบอเมริกันแห่งแรก ที่อนุญาตให้สตรีเข้าเป็นนักศึกษาจำนวนมาก พระนางยังทรงเป็นคนกลางอำนวยความสะดวกในการซื้อคืนวัตถุโบราณของอิหร่านมาจากพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศ
ในปีค.ศ. 1978 มีสัญญาณชัดเจนว่าการปฏิวัติกำลังเกิดขึ้น จักรพรรดิและจักรพรรดินีจึงเสด็จออกจากประเทศในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 หลังจากทรงได้รับการตัดสินโทษประหารชีวิต ด้วยเหตุนี้นานาประเทศจึงไม่เต็มใจที่จะต้อนรับพระราชวงศ์อิหร่าน ยกเว้นแต่เพียงอียิปต์ในสมัยประธานาธิบดีอันวัร อัสซาดาตที่ให้พระราชวงศ์อิหร่านลี้ภัยในประเทศ พระพลานามัยของพระเจ้าชาห์เริ่มทรุดลง และสวรรคตในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1980 หลังจากนั้น จักรพรรดินีฟาราห์เริ่มประกอบพระราชกรณียกิจทางการกุศลใหม่อีกครั้ง และทรงประทับอยู่ทั้งวอชิงตัน ดี.ซี และปารีส