Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คณะลูกเสือแห่งชาติ หรือ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (อังกฤษ: National Scout Organization of Thailand) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการลูกเสือของประเทศไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้เข้าร่วมสมัชชาลูกเสือโลกเมื่อ พ.ศ. 2465
คําขวัญ | เสียชีพอย่าเสียสัตย์ |
---|---|
ก่อตั้ง | 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 |
ผู้ก่อตั้ง | พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ประเภท | นิติบุคคล |
ที่ตั้ง |
|
สมาชิก (พ.ศ. 2553) | 1,360,689 คน |
ประมุขลูกเสือแห่งชาติ | พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระมหากษัตริย์ไทย) |
องค์อุปถัมภิกา | สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ |
นายกสภาลูกเสือไทย | แพทองธาร ชินวัตร (นายกรัฐมนตรีไทย) |
เลขาธิการ | สุทิน แก้วพนา |
องค์กรปกครอง | กระทรวงศึกษาธิการ |
เว็บไซต์ | http://www.scoutthailand.org |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศสหราชอาณาจักร ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงทราบเรื่องการสู้รบเพื่อรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking) ของลอร์ด โรเบิร์ต เบเดน-โพเอลล์ (Lord Robert Baden-Powell) ซึ่งตั้งกองทหารเด็กเป็นหน่วยสอดแนมช่วยรบในการรบกับพวกบัวร์ (Boer) จนประสบผลสำเร็จ และเป็นที่มาของการตั้งกองลูกเสือขึ้นในประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450 เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยก็ได้ทรงจัดตั้งกองเสือป่า (Wild Tiger Corps) ขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ก็ได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ด้วยมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่า เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง นับเป็นประเทศกลุ่มที่ 3 ของโลก ต่อจากประเทศในเครือจักรภพอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ที่มีการสถาปนากองลูกเสือขึ้น
จากนั้น ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรก ขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือ ตามโรงเรียนต่าง ๆ รวมถึงกำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้นประกาศใช้เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม รศ.130 (พ.ศ. 2454) กำหนดให้ลูกเสือเป็นสาขาหนึ่งของเสือป่า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญไว้ว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” โดยผู้ที่นับว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรกคือ นายชัพน์ บุนนาค ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”
หลังจากนั้นกิจการลูกเสือก็ได้ซบเซาลง จนในปี พ.ศ. 2506 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภิกา พร้อมกับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงรับไว้ในพระอนุเคราะห์ (โดยไม่ออกพระนาม) ทำให้กิจการลูกเสือไทยกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง ซึ่งแม้ทั้งสองพระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ดอกผลแห่งพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ก็ยังใช้จุนเจือกิจการคณะลูกเสือแห่งชาติต่อมา และยังคงได้รับการสืบสานให้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับนับจนปัจจุบัน
ในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะพระมหากษัตริย์ไทย ทรงเป็นประมุขแห่งคณะลูกเสือแห่งชาติ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551 และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง, สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงเป็นองค์อุปถัมภิกาคณะลูกเสือแห่งชาติ
สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการลูกเสือของชาติ มีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
มุ่งพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีคุณภาพ
ไม่ว่าประเทศใดในโลกที่มีกิจการลูกเสือของตน จะมีการแบ่งประเภทเอาไว้เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ หลักการ และวิธีการขององค์การลูกเสือโลก ซึ่งบางอยางอาจถูกปรับเปลี่ยนไปบางตามลักษณะสังคม วัฒนธรรม ของแต่ละประเทศ แต่โดยภาพรวมแล้วจะแบ่งประเภทลูกเสือตามเกณฑ์อายุ ด้วยการที่คำนึงถึงพัฒนาการทางรางกาย และจิตใจของเด็กเป็นพื้นฐานในการฝึกอบรม เพื่อไม่ให้ฝืนธรรมชาติของเด็ก ซึ่งสามารถทำให้เด็กพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมากแล้วทั่วโลกจะมีการแบงประเภทลูกเสือเป็น 2 แบบใหญ่ คือแบบอังกฤษ ซึ่งถือเอาแบบแผนตามที่ BP เคยปฏิบัติเอาไว้ กับแบบอเมริกา ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สำหรับประเทศไทยนั้นยึดถือตามแบบอังกฤษ คือ
ธงลูกเสือแบ่งออกเป็น 4 อย่างดังต่อไปนี้[1]
ในพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551 หมวด 4 มาตรา 50 ได้ระบุถึงธงลูกเสือทั้งสองชนิด ความว่า ให้มีธงคณะลูกเสือแห่งชาติและธงลูกเสือจังหวัดโดยได้รับพระราชทานจากประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ และได้กำหนดลักษณะของธงทั้งสองไว้ในพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 หมวด 6 ธงคณะลูกเสือแห่งชาติและธงลูกเสือจังหวัด ความว่า
ธงคณะลูกเสือแห่งชาติ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ผืนธงกว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 52 เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีตราธรรมจักรสีเหลืองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 32 เซนติเมตร
ธงลูกเสือจังหวัด มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ผืนธงกว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีเหลืองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 27 เซนติเมตร มีขอบรอบดวงกลมเป็นสีดำ 2 ขอบซ้อนกัน ขอบนอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ขอบในกว้าง 1 มิลลิเมตร ระยะระหว่างขอบนอกกับขอบในห่างกัน 2 มิลลิเมตร ตรงกลางของดวงกลมมีตราคณะลูกเสือแห่งชาติเป็นสีเหลือง และใต้ตรานั้นให้มีชื่อจังหวัดเป็นอักษรสีดำ
ซึ่งรูปแบบดังกล่าว ยังคงไว้ตามลักษณะเดิมของ ธงประจำกองคณะลูกเสือแห่งสยาม หรือ ธงคณะลูกเสือแห่งชาติ เมื่อครั้งรัชกาลที่7 และธงลูกเสือจังหวัดเมื่อครั้งรัชกาลที่ 8 ส่วนคันธงนั้น ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช 2479 มาตรา 13 ธงประจำคณะลูกเสือและธงประจำกองลูกเสือ ความว่า คันธงยาว 2.60 เมตร ที่ยอดคันธงทำด้วยเงินเป็นรูปวชิร
ธงคณะลูกเสือแห่งชาติและธงลูกเสือจังหวัด เป็นธงสำคัญของคณะลูกเสือแห่งชาติอันเป็นเครื่องหมายแทนองค์พระมหากษัตริย์ รวมถึงสถาบัน ชาติ ศาสนาอันควรเคารพยิ่ง ในปัจจุบัน ธงทั้งสองชนิดจะเชิญเข้าใช้ในกิจการต่าง ๆ ตามแต่โอกาส อาทิ พิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนามของลูกเสือ ในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ 1 กรกฎาคม ของทุกปี ในงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ หรือเชิญเข้าประจำในกองลูกเสือเกียรติยศ โอกาสพระราชพิธี รัฐพิธี และ พิธีของลูกเสือ หรือรับเสด็จพระราชดำเนินในการประพาสต่างท้องถิ่น สำหรับพระเกียรติยศประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ พระรัชทายาท องค์อุปถัมภ์คณะลูกเสือแห่งชาติ และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทั้งนี้ ธงคณะลูกเสือแห่งชาติและธงลูกเสือจังหวัด ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนธงสำคัญต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติธง เมื่อเชิญไปในพิธีการใด ก็จะต้องปฏิบัติตามระเบียบพิธีและธรรมเนียม เช่น มีการจัดกองเกียรติยศสำหรับธงเวลาเชิญไปในงานพิธีและเชิญกลับ มีการบรรเลงเพลงมหาชัยเป็นเกียรติยศสำหรับธง รวมไปถึงการเก็บรักษาและแสดงความเคารพต่อธงเป็นพิเศษ เมื่อชำรุดก็จะมีการขอรับพระราชทานธงแทนธงเดิมที่ชำรุด หรือขอรับพระราชทานธงใหม่เมื่อมีจังหวัดเกิดขึ้น เป็นต้น
เมื่อได้รับพระราชทานธงผืนใหม่ เป็นอันว่าธงที่ได้รับพระราชทานมาแต่เดิมนั้นพ้นสมัยการเชิญออกใช้แล้ว ดังนั้น ธงผืนเดิมควรเก็บรักษาไว้เป็นที่เคารพ และเกียรติประวัติของจังหวัด โดยคลี่ออกจากถุงคลุมธง เพื่อป้องกันการชำรุดเสียหายของเนื้อผ้าจากการม้วนเก็บรักษาเป็นเวลานานก็ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายธงผืนเดิม เช่นเปลี่ยนสถานที่เก็บรักษา ยังคงต้องใช้ระเบียบการเชิญธงตามปกติ เพียงแต่ไม่เชิญธงผืนเดิมออกใช้ในพิธีการใดๆ เท่านั้น
ส่วนธงผืนใหม่นั้น เมื่อได้รับพระราชทานมาแล้ว จะต้องเชิญกลับไปยังจังหวัดด้วยความเคารพ ตามระเบียบการเชิญธง คือมีหมู่เชิญธง และกองลูกเสือเกียรติยศ ทั้งไม่นำธงเก็บในที่ไม่สมควร เช่น ไม่เก็บไว้ในที่เก็บของใต้ท้องรถ ในกรณีที่เขิญขึ้นรถคันเดียวกับที่ใช้เดินทาง ธงจะต้องขึ้นรถก่อน เมื่อถึงจุดหมายจะเชิญลงที่หลัง โดยมีกองลูกเสือเกียรติยศตั้งรอรับ
การเก็บรักษา หากมีสถานที่ประจำอันเคยใช้เก็บรักษาธงลูกเสือจังหวัดผืนเดิม ก็สามารถนำไปเก็บรักษาร่วมกันได้ หรือสถานที่อันเหมาะสม เช่น ห้องประดิษฐานพระพุทธนวราชบพิตร ห้องเก็บรักษาพระแสงราชศัสตรา ฯลฯ หรือเก็บไว้ที่โรงเรียน ซึ่งเป็นผู้รักษาธง และมีหน้าที่ประจำธงมาแต่เดิม โดยการเชิญธงไปเก็บรักษานั้น จะต้องปฏิบัติตามระเบียบการจัดกองลูกเสือเกียรติยศในการรับส่งธงด้วย
เมื่อเก็บรักษาปกติ ย่อมจะอยู่ในถุงคลุมเสมอ จะคลี่ธงออกก็ต่อเมื่อเชิญธงไปในพิธีของลูกเสือ เชิญธงเข้าประจำในกองลูกเสือเกียรติยศ ซึ่งจัดสำหรับเชิญธงในพิธีการทางลูกเสือ หรือเป็นกองลูกเสือเกียรติยศรับเสด็จพระราชดำเนินประมุข และองค์อุปถัมภ์คณะลูกเสือแห่งชาติในการเสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจ พระกรณียกิจในจังหวัด หรือพระราชพิธี รัฐพิธี หรือพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ยังห้ามดัดแปลงธง หรือส่วนประกอบของธงโดยพลการ เช่น การทาสีเสาธงเป็นสีอื่น การตัดทอนเสาธง ฯลฯ เมื่อธงเกิดชำรุดจนไม่สามารถ หรือไม่สมควรเชิญออกใช้ สำนักงานลูกเสือจังหวัดจะต้องมีหนังสือแจ้งให้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ดำเนินการขอรับพระราชทานธงผืนใหม่แทนธงที่ชำรุดนั้น
ธงประจำกลุ่มหรือกองลูกเสือ มีลักษณะตามข้อ 309 แห่งข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติ ว่าด้วยการปกครอง หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ พ.ศ. 2509 ดังต่อไปนี้
ทำด้วยผ้าสีเหลืองขนาด 90×60 ซม. มีครุยสีเขียวยาว 8 ซม. สามด้าน ตรงกลางมีตราคณะลูกเสือแห่งชาติสีเขียว ขนาด 40×25 ซม. ใต้ตราบอกชื่อกลุ่มหรือกองลูกเสือ ตัวอักษรตัวพิมพ์ธรรมดาสีเหลือง ขนาดพองาม ยอดคันธงทำด้วยโลหะเป็นรูปวชิรสีเงิน
ทำด้วยผ้าสีเขียว ขนาด 120×80 ซม. มีครุยสีเหลืองยาว 8 ซม.สามด้าน ตรงกลางมีตราคณะลูกเสือแห่งชาติสีเหลือง ขนาด 40×25 ซม. ใต้ตราบอกชื่อกลุ่มหรือกองลูกเสือ ตัวอักษรตัวพิมพ์ธรรมดาสีเหลือง ขนาดพองาม ยอดคันธงทำด้วยโลหะเป็นรูปวชิรสีเงิน
ทำด้วยผ้าสีเลือดหมู ขนาด 120×80 ซม. มีครุยสีเหลืองยาว 8 ซม. สามด้าน ตรงกลางมีตราคณะลูกเสือแห่งชาติสีเหลืองขนาด 40×25 ซม. ใต้ตราบอกชื่อกลุ่มหรือกองลูกเสือ ตัวอักษรตัวพิมพ์ธรรมดาสีเหลือง ขนาดพองาม ยอดคันธงทำด้วยโลหะเป็นรูปวชิรสีเงิน[1]
ทำด้วยผ้าสีขาบ ขนาด 120×80 ซม. มีครุยสีเหลืองยาว 8 ซม.สามด้าน ตรงกลางมีตราคณะลูกเสือแห่งชาติสีเหลือง ขนาด 40×25 ซม. ใต้ตราบอกชื่อกลุ่มหรือกองลูกเสือ ตัวอักษรตัวพิมพ์ธรรมดาสีเหลือง ขนาดพองาม ยอดคันธงทำด้วยโลหะสีเงิน[1]
ธงประจำหมู่ลูกเสือ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในหนังสือการลูกเสือสำหรับเด็กชาย ตามข้อ 310 แห่งข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติ ว่าด้วยการปกครอง หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ พ.ศ. 2509
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.