Loading AI tools
นิตยสารการ์ตูนไทยแนวตลกขำขันบนแผงหนังสือเมืองไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ขายหัวเราะ เป็นนิตยสารการ์ตูนไทยแนวตลกขำขันที่มีอายุยืนนานบนแผงในเมืองไทยเกินกว่า 40 ปี จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น บริหารงานโดย วิธิต อุตสาหจิต และเป็นหนังสือการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเล่มหนึ่งในประเทศไทย ควบคู่ไปกับนิตยสารมหาสนุก ซึ่งจัดพิมพ์โดยบรรลือสาส์นเช่นกัน เริ่มตีพิมพ์ฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. 2516[1]
ในช่วงยุครุ่งเรืองนั้น ขายหัวเราะเป็นนิตยสารการ์ตูนไทยที่สามารถทำยอดขายได้กว่าล้านเล่มในแต่ละเดือน[2] ตลอดช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา[3]
หลังจากยืนหยัดบนแผงมาเป็นทศวรรษ ในปัจจุบัน ทางบรรลือสาสน์ได้ยุติการจัดทำขายหัวเราะกับการ์ตูนในเครือแบบรูปเล่มรายประจำและหันไปทำอีบุ้คลงบนแพลตฟอรม์ออนไลน์แทนแล้ว[4]โดยฉบับสุดท้ายที่จัดทำเป็นแบบรูปเล่มวางแผงทั่วไปคือ ฉบับที่ 1515 วางจำหน่ายเมื่อ 11 พฤษภาคม 2564[5]
ขายหัวเราะ เปิดตัวครั้งแรกในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2516 เป็นนิตยสารที่นำเสนอการ์ตูนตลกสามช่องจบ หรือ การ์ตูนแก๊กเกือบตลอดทั้งเล่ม ภายในลงพิมพ์เรื่องขำขันแทรกเป็นช่วงๆ และเรื่องสั้นสามเรื่องในแต่ละฉบับผลงานการ์ตูนในช่วงแรกๆ จะมาจากนักเขียน อย่าง พลังกร,พล,ทวี วิษณุกร,จิงโจ้,อาวัฒน์,จุ๋มจิ๋ม ก่อนที่ต่อมาจะได้นักเขียนหน้าใหม่ๆ เช่น ต่าย,นิค,ต้อม,หมู,เอ๊าะ ฯลฯมาเสริมทีมในเวลาต่อมา[6]
ทางสำนักพิมพ์ยังเปิดโอกาสในการเขียนการ์ตูนแก๊ก ขำขัน และเรื่องสั้นเหล่านี้ ให้ผู้อ่านสามารถส่งเป็น มุข,ไอเดีย รึ เขียนเป็นเรื่องสั้นเพื่อนำเสนอให้ทางนิตยสารตีพิมพ์ได้ โดยต้องผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการก่อน นักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนก็เคยมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับนี้ เช่น ดำรง อารีย์กุล, อิราวดี นวมานนท์(น้ำอบ), นอติลุส, เพชรน้ำเอก เป็นต้น[7]
ส่วนขนาดรูปเล่มของขายหัวเราะ ในสมัยเริ่มแรกมีรูปเล่มขนาดใหญ่เท่ากระดาษ A4 [2] ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 จึงได้เริ่มปรับขนาดหนังสือให้เล็กลง โดยใช้ชื่อหนังสือเล่มเล็กว่า "ขายหัวเราะฉบับกระเป๋า" มีขนาดเท่ากระดาษ B5 ซึ่งเป็นขนาดของหนังสือขายหัวเราะในปัจจุบัน ส่วนขายหัวเราะฉบับเดิมก็ยังคงพิมพ์ต่อไป จนกระทั่งเลิกออกไปในช่วง พ.ศ.2537[8] เหลือเพียงขายหัวเราะฉบับกระเป๋าที่ปรับเป็นรายสัปดาห์เท่านั้น
ราคาขายของขายหัวเราะในสมัยเล่มใหญ่นั้นอยู่ที่ 5 บาท (ต่อมาได้เพิ่มเป็น 6 และ 7 บาท) ต่อมาเมื่อมีการปรับขนาดลงมาเป็นฉบับกระเป๋า จึงมีการปรับราคาหนังสือใหม่เป็น 10 บาท ภายหลังจึงขึ้นราคาเป็น 12 บาท และ 15 บาท เมื่อ พ.ศ. 2549 ตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
กำหนดการออกนิตยสารนั้นเดิมกำหนดออกเป็นรายปักษ์ (ราย 15 วัน) ภายหลังจึงปรับให้ออกเป็นรายสิบวันและรายสัปดาห์พร้อมกับมหาสนุก โดยขายหัวเราะมีกำหนดออกในวันอังคาร ส่วนมหาสนุกออกจำหน่ายในวันศุกร์ ต่อมาจึงปรับกำหนดออกอีกครั้งให้เป็นวันพุธทั้งสองฉบับในเดือนเมษายน พ.ศ. 2541
ในช่วงปี พ.ศ.2544-2545 ทางบรรลือสาสน์ได้เปิดแผนก Vithita Animation และได้ริเริ่มนำผลงานการ์ตูนยอดนิยมในเครือของขายหัวเราะ เช่น ปังปอนด์ มาสร้างในแบบการ์ตูนอนิเมชั่น 3 มิติ[9]เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดสร้างความนิยมด้วยการนำผลงานในเครือของตนสู่สื่อในรูปแบบอื่นๆในอีกหลายปีต่อมา
ช่วงปี 2554 ทางบันลือกรุ๊ป ได้ลงทุนงบกว่า 10 ล้านบาทสำหรับการจัดทำขายหัวเราะในรูปแบบอีแม็กกาซีน โดยเวอร์ชันทดลองแรกเริ่ม มียอดดาวน์โหลดกว่า 2 หมื่นครั้ง ภายในช่วงระยะเวลา 4 วัน[10]
ปี พ.ศ. 2559 ในช่วงนี้ทางขายหัวเราะและนิตยสารในเครือต้องเผชิญกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงยอดขายที่ตกต่ำลง ร้านหนังสือที่ลดจำนวนลงเพราะสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ได้มีการเปลี่ยนกำหนดออกเป็นรายปักษ์ และปรับราคาเป็นเล่มละ 20 บาทอีกทั้งยังมีการปรับตัวนิตยสาร เช่น ย่อขนาดภาพการ์ตูนแก๊กบางช่วง และเพิ่มเนื้อหาสาระความรู้สอดแทรกใต้ภาพการ์ตูน ,บางส่วนเปลี่ยนจากการตีกรอบแบบคลาสสิค เป็นจัดวางใหม่แบบไร้กรอบ การปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวนิตยสารเช่นนี้ ทำให้ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อันเผ็ดร้อนของบรรดานักอ่านกับคุณภาพของตัวนิตยสารที่ทดถอยลงประกอบกับแก๊กการ์ตูนจากฝีมือนักเขียนหน้าใหม่ๆที่ยังไม่โดนใจผู้บริโภค[11]
ในปี พ.ศ. 2564-2565 ทางบรรลือสาสน์ได้ยกเลิกการวางจำหน่ายขายหัวเราะในแบบ นิตยสารรายประจำไปอย่างเงียบๆ [12]โดยฉบับสุดท้ายที่จัดทำเป็นแบบรูปเล่มวางแผงทั่วไปคือ ฉบับที่ 1515 วางจำหน่ายเมื่อ 11 พฤษภาคม 2564[13] และปรับรูปแบบไปเป็น E-book ให้ดาวน์โหลด และ หนังสือแบบเฉพาะกิจให้พรีออเดอร์ตามแพล็ตฟอรม์ออนไลน์ต่างๆแทน[14]
ปี 2566 บรรลือสาสน์ได้ทำการ Reprint นิตยสารการ์ตูนฉบับ ปฐมฤกษ์ ในเครือ เช่น ขายหัวเราะเล่มใหญ่ ฉบับที่ 1 ,ขายหัวเราะฉบับกระเป๋า เล่ม1 ,นิตยสาร มหาสนุก เล่ม 1,สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่,ไอ้ตัวเล็ก,หนูหิ่นอินเตอร์ ฉบับแรก มาขายรวมกันในชื่อชุด เล่ม1 ฮ่าสิบปีRemastered Collection วางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือและ ช่องทางออนไลน์ ในจำนวนจำกัด 555ชุด [15]
รายชื่อของนักเขียนที่เคยมีผลงานตีพิมพ์ต่อเนื่องในนิตยสารหัวนี้และในเครือบรรลือสาสน์
วิธิต อุตสาหจิต ผู้ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการได้เคยให้สัมภาษณ์ผ่านประชาชาติออนไลน์ว่า มีหนังสือขายหัวเราะจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น[2]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.