![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/33/Sjogren%2527s_syndrome_%25282%2529.jpg/640px-Sjogren%2527s_syndrome_%25282%2529.jpg&w=640&q=50)
กลุ่มอาการโชเกรน
ภาวะภูมิไวเกินประเภทที่ 2 ที่ส่งผลต่อต่อมมีท่อ / From Wikipedia, the free encyclopedia
กลุ่มอาการโชเกรน (อังกฤษ: Sjögren syndrome, Sjögren's syndrome; ย่อ SjS, SS) เป็นโรคภูมิต้านตนเองระยะยาวที่ส่งผลต่ออวัยวะผลิตของเหลวในร่างกายอย่างต่อมน้ำตาและต่อมน้ำลาย[4] กลุ่มอาการโชเกรนยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออวัยวะอื่น เช่น ปอด ไตและระบบประสาท[8] อาการหลัก ได้แก่ ปากแห้ง ตาแห้ง[2] เจ็บปวดและล้า[9] อาการอื่นรวมถึงผิวแห้ง ช่องคลอดแห้ง ไอเรื้อรัง ชาที่แขนและขา รู้สึกเหนื่อย ปวดกล้ามเนื้อและข้อ และต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ[4] ผู้ป่วยกลุ่มอาการโชเกรนมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น 15%[2][7]
กลุ่มอาการโชเกรน | |
---|---|
ชื่ออื่น | Sjögren's syndrome, sicca syndrome |
![]() | |
ภาพจากกล้องจุลทรรศน์แสดงการแทรกซึมของลิมฟอยด์เฉพาะจุดในต่อมน้ำลายน้อย ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการโชเกรน | |
การออกเสียง |
|
สาขาวิชา | วิทยาภูมิคุ้มกัน, วิทยารูมาติก |
อาการ | ปากแห้ง, ตาแห้ง, ภาวะแห้งในอวัยวะอื่น[2] |
ภาวะแทรกซ้อน | มะเร็งต่อมน้ำเหลือง[2] |
การตั้งต้น | วัยกลางคน[2][3] |
ระยะดำเนินโรค | ระยะยาว[4] |
สาเหตุ | โรคภูมิต้านตนเอง (ไม่ทราบสาเหตุ)[4] |
วิธีวินิจฉัย | การตัดเนื้อออกตรวจ, การตรวจเลือด[2] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | ผลเคียงข้างจากยา, ความวิตกกังวล, โรคซาร์คอยด์, โรคแอมิลอยด์[5] |
การรักษา | น้ำตาเทียม, ยาแก้อักเสบ, การผ่าตัด[4] |
พยากรณ์โรค | การคาดหมายคงชีพปกติ[6] |
ความชุก | ~0.7%[7] |
ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของกลุ่มอาการโชเกรน แต่คาดว่าเป็นกรรมพันธุ์ร่วมกับสิ่งกระตุ้นทางสิ่งแวดล้อมอย่างการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย[4] กลุ่มอาการโชเกรนสามารถเกิดเองโดยไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่น (กลุ่มอาการโชเกรนปฐมภูมิ) หรือเป็นผลจากโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (กลุ่มอาการโชเกรนทุติยภูมิ)[3] กลุ่มอาการโชเกรนอาจเกี่ยวข้องกับโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) ลูปัส อีริทีมาโตซัส ทั่วร่าง (SLE) และโรคหนังแข็งทั่วร่าง การวินิจฉัยใช้การเก็บตัวอย่างต่อมน้ำลายเพื่อหาลิมโฟไซต์และการตรวจเลือดเพื่อหาสารภูมิต้านทาน[2]
แม้กลุ่มอาการโชเกรนจะเป็นหนึ่งในโรคภูมิต้านตนเองที่พบได้ทั่วไป แต่ยังไม่มีการตรวจวินิจฉัยโรคแบบไม่ล่วงล้ำที่เฉพาะเจาะจง การรักษาเป็นการจัดการกับอาการผู้ป่วย[4] เช่น การใช้น้ำตาเทียมหรือผ่าตัดอุดท่อน้ำตาเพื่อลดการอักเสบจากตาแห้ง[4] การเคี้ยวหมากฝรั่ง (โดยเฉพาะชนิดไม่มีน้ำตาล) การจิบน้ำหรือใช้สารทดแทนน้ำลายในการบรรเทาอาการปากแห้ง[4] อาจมีการหยุดใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งก่อให้เกิดภาวะแห้ง[4]
เฮนริก โชเกรน จักษุแพทย์ชาวสวีเดนอธิบายโรคนี้ในปี ค.ศ. 1933 อย่างไรก็ตามยัน มิคุลิช-ราเดกคี ศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน–โปแลนด์บรรยายถึงอาการผู้ป่วยก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 1892[10][11] ประชากรประมาณ 0.2–1.2% ป่วยเป็นกลุ่มอาการโชเกรน โดยครึ่งหนึ่งเป็นแบบปฐมภูมิ อีกครึ่งหนึ่งเป็นแบบทุติยภูมิ[7] กลุ่มอาการโชเกรนพบได้ทั่วไปในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 10 เท่า[3] อาการมักแสดงในช่วงวัยกลางคน[2][3] ผู้ป่วยกลุ่มอาการโชเกรนมีการคาดหมายคงชีพปกติ[6]