Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กรณีพิพาทอโยธยา เป็นประเด็นถกเถียงในเชิงรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมและศาสนาในประเทศอินเดีย อันเกี่ยวกับที่ดินหนึ่งในเมืองอโยธยา รัฐอุตตรประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับการควบคุมพื้นที่ที่ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระราม เทพเจ้าของฮินดู[1] การเป็นที่ตั้งในทางประวัติศาสตร์ของมัสยิดบาบรี และประเด็นถกเถียงว่าก่อนหน้าที่จะเป็นมัสยิดนั้นพื้นที่นี้เคยเป็นโบสถ์พราหมณ์มาก่อนหรือไม่
มัสยิดที่เคยตั้งอยู่บนที่ดินผืนนี้คือมัสยิดบาบรีที่ถูกทำลายระหว่างกิจกรรมการเมืองหนึ่งที่ท้ายที่สุดได้กลายเป็นการวิวาทอย่างรุนแรงในวันที่ 6 ธันวาคม 1992 ต่อมากรณีพิพาทถึงความเป็นเจ้าของของที่ดินผืนนี้ได้ถูกนำส่งเข้าตัดสินโดยศาลสูงอลาหาบาดที่ซึ่งออกคำตัดสินในวันที่ 30 กันยายน 2010 มีใจความว่า ผู้พิพากษาประจำศาลสูงอลาหาบาดสามคนได้ระบุให้ที่ดินขนาด 2.77 เอเคอร์ (1.12 เฮกตาร์) ที่เป็นปัญหานี้แบ่งออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน โดยส่วนแรกเป็นของฮินดูมหาสภาเพื่อใช้งานเกี่ยวกับความเชื่อที่เกี่ยวกับรามลัลล พระรามปางประสูติ, ส่วนที่สองเป็นของคณะกรรมการซุนนีวักฟ์ (Sunni Waqf Board), และส่วนสุดท้ายเป็นของนิรโมหีอขร นิกายหนึ่งของฮินดู ถึงแม้ผลการตัดสินของผู้พิพากษาทั้งสามคนจะไม่มีความเป็นเอกฉันท์ในตัวเองถึงกรณีว่ามัสยิดบาบรีนั้นสร้างขึ้นโดยการทำลายโบสถ์พราหมณ์หลังเดิมหรือไม่ แต่ได้มีข้อตกลงร่วมว่ามีโครงสร้างของโบสถ์พราหมณ์หลังเดิมที่เก่าแก่กว่ามัสยิดอยู่[2][3]
การสืบพยานหลักฐานโดยผู้พิพากษาห้าคนภายใต้ศาลสูงสุดอินเดียได้ดำเนินไปในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2019[4][5] ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2019 ศาลสูงนำโดยหัวหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุดของอินเดีย ราชัน โกโกอี ได้ประกาศคำตัดสินใจความว่าได้ยกเลิกคำตัดสินเดิมเมื่อปี 2010 และให้ที่ดินตกเป็นของรัฐบาลโดยอ้างจากบันทึกการเสียภาษี[6] นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้มอบที่ดินนี้แก่คณะกรรมการเพื่อสร้างโบสถ์พราหมณ์ขึ้น และให้รัฐบาลมอบที่ดินขนาดห้าเอเคอร์ทดแทนให้กับคณะกรรมการซุนนีวักฟ์เพื่อสร้างมัสยิดขึ้นใหม่แทนในพื้นที่เดิม[7]
ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2020 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศตั้งชื่อคณะกรรมการดูแลโบสถ์พราหมณ์ขึ้นในชื่อ ศรีรามชนมภูมิตีรถเกษตร และการก่อสร้างโบสถ์พราหมณ์ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 สิงหาคม 2020 โดยมีนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมทีเดินทางไปประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ร่วมกับโยคีอาทิตยนาถ ผู้ว่าการรัฐอุตตรประเทศ
ที่ดินที่ซึ่งมัสยิดที่สร้างขึ้นในยุคกลาง มัสยิดบาบรี เคยตั้งอยู่นั้นเป็นพื้นที่ที่ชาวฮินดูเชื่อตามขนบว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระราม เทพเจ้าในศาสนาฮินดู ประเด็นนี้ถือเป็นศูนย์กลางของกรณีพิพาทอโยธยาทั้งหมด[8]
พระรามทรงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าฮินดูที่ได้รับการเคารพบูชาสูงที่สุด พระองค์ทรงเป็นอวตารปางที่ 7 ของพระวิษณุ[9] มหากาพย์รามายณะระบุว่าพระรามประสูติในอโยธยา แก่พระนางเกาศัลยา (หรือพระนางเกาสุริยาในฉบับไทย) และ พระเจ้าทศรถ[10]
ในคัมภีร์ครุฑปุราณะระบุว่าอโยธยาเป็นหนึ่งในเจ็ดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บุคคลหนึ่งสามารถเข้าถึงโมกษะได้ เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด[11]
จักรพรรดิบาบูร์ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจักรวรรดิโมกุล เชื่อกันว่าหนึ่งในนายพลของจักรวรรดิ มีร์บากี ได้สร้างมัสยิดบาบรี ("มัสยิดของจักรพรรดิบาบูร์") ขึ้นในปี 1528 ตามพระกระแสรับสั่ง[12] นักสำรวจของบริษัทอีสต์อินเดีย ฟรานซิส บูชานานรายงานว่าเขาพบจารึกบนผนังมัสยิดระบุไว้ดังที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากนี้เขายังบันทึกคำบอกเล่าของชาวท้องถิ่นที่เชื่อกันว่ามัสยิดนี้สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิออรังเซบ (ค. 1658 – 1707) หลังทรงทำลายโบสถ์พระรามที่เคยตั้งอยู่เดิม[13][14]
เอกสารเก่าแก่ที่สุดที่บันทึกการมีอยู่ของมัสยิดนั้นเป็นบันทึกของชัย สิงห์ที่สอง ขุนนางราชปุตในราชสำนักโมกึล ผู้ซึ่งซื้อที่ดินของมัสยิดและที่ดินโดยรอบในปี 1717 ในเอกสารของเขาได้ระบุถึงอาคารของมัสยิดที่มีสามโดม ที่กลับระบุว่าเป็น "สถานที่ประสูติ" (ฉถี; chhathi) ในพื้นที่ด้านหน้ายังพบ "แท่นบูชา" (จพุตร; chabutra) ที่ซึ่งพบศาสนิกชนเข้ามาประกอบพิธีกรรมบูชา[15] รายละเอียดทั้งหมดได้รับการยืนยันโดยนักบวชเยซูอิต Joseph Tieffenthaler ในครึ่งศตวรรษถัดมา[16] Tieffenthaler ยังระบุต่ออีกว่า "ที่เห็น [มีการบูชาโดยชาวฮินดูอยู่ด้วยนี้] ด้วยเมื่อครั้งหนึ่งในอดีตกาลเคยเป็นที่ที่พระเพสจัน (Beschan) [หมายถึงพระวิษณุ] ได้ประสูติในปางอวตารเป็นพระราม"[17]
ทั้งชาวฮินดูและมุสลิมได้มีการระบุไว้ว่าล้วนเข้ามาประกอบพิธีกรรมใน "มัสยิด-มนเทียร" (mosque-temple) นี้ โดยชาวมุสลิมประกอบพิธีในมัสยิด และชาวฮินดูอยู่นอกมัสยิดแต่ยังอยู่ในที่ดิน หลังอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของบริเตน รัฐบาลบริเตนได้แบ่งพื้นที่ทั้งสองออกจากกันเพื่อป้งอกันการวิวาทกัน[18] ในปี 1949 ภายหลังอินเดียได้รับเอกราช ได้มีคนนำเทวรูปของพระรามไปประดิษฐานภายในมัสยิด อันเป็นฉนวนให้เกิดการวิวาทตามมา[19]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.