คลอโรควิน
สารประกอบทางเคมี / From Wikipedia, the free encyclopedia
คลอโรควิน (อังกฤษ: Chloroquine) เป็นยาที่ใช้ในการป้องกันและรักษาโรคมาลาเรียในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากโรค[1] ไข้มาลาเรียบางชนิด, สายพันธุ์ดื้อยา และกรณีป่วยที่ซับซ้อนมักจะใช้ยาอื่นหรือต้องใช้ยาอื่นเพิ่มเติม[1] บางครั้งคลอโรควินจะใช้สำหรับโรคบิดติดเชื้ออะมีบา (Amebiasis) ที่เกิดขึ้นนอกลำไส้, โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคลูปัส (Lupus erythematosus)[1] มีการศึกษาการยาใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งพบว่ามีความปลอดภัย[1][2] คลอโรควินเป็นยารับประทาน[1] ยายังถูกใช้ในการทดลองเพื่อรักษาโรค COVID-19 ในปี พ.ศ. 2563[3]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
การอ่านออกเสียง | /ˈklɔːrəkwɪn/ |
ชื่อทางการค้า | Aralen, อื่น ๆ |
AHFS/Drugs.com | Chloroquine Phosphate |
ข้อมูลทะเบียนยา |
|
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย |
|
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
การเปลี่ยนแปลงยา | ตับ |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | 1–2 เดือน |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS |
|
PubChem CID | |
IUPHAR/BPS | |
DrugBank |
|
ChemSpider |
|
UNII | |
KEGG |
|
ChEBI | |
ChEMBL |
|
NIAID ChemDB | |
ECHA InfoCard | 100.000.175 |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C18H26ClN3 |
มวลต่อโมล | 319.872 กรัม/โมล g·mol−1 |
แบบจำลอง 3D (JSmol) | |
SMILES
| |
InChI
| |
(verify) | |
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ, เบื่ออาหาร, ท้องร่วง และผื่นที่ผิวหนัง[1] ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงรวมถึง ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น, ความเสียหายของกล้ามเนื้อ, การชัก และระดับเซลล์เม็ดเลือดต่ำ[1][4] คลอโรควิน เป็นสมาชิกของกลุ่มยา 4-อะมิโนควิโนลิน (4-aminoquinoline)[1] โดยทำงานต่อต้านรูปแบบที่ไม่อาศัยเพศของปรสิตมาลาเรียในเซลล์เม็ดเลือดแดง[1] อย่างไรก็ตามกลไกของยาสำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคลูปัสยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจน[1]
คลอโรควิน ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1934 (พ.ศ. 2476-2477) โดยฮานส์ อันเดอร์ซัก (Hans Andersag)[5][6] ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อยาสำคัญขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด ที่จำเป็นในระบบสุขภาพ[7] สามารถใช้เป็นยาสามัญได้ในสหรัฐอเมริกา[1] ราคาขายส่งในประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ประมาณ $0.04 ดอลลาร์สหรัฐ[8] และในสหรัฐอเมริกามีราคาประมาณ $5.30 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อการรับประทานหนึ่งครั้ง[1]